โอกาสใหม่ในตลาดต่างประเทศจากนโยบายส่งเสริมการส่งออก

ช่วงที่ 1 : ความสำคัญของนโยบายส่งเสริมการส่งออก และศักยภาพในการขยายตลาด

1.1 บทนำ: เหตุใด “นโยบายส่งเสริมการส่งออก” จึงสำคัญ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “การค้าระหว่างประเทศไทย” มีการปรับตัวและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแข่งขันในตลาดสากลที่สูงขึ้น รัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของมาตรการที่สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน จึงได้ประกาศ “นโยบายส่งเสริมการส่งออก” ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจในภาพรวม

เมื่อไม่นานมานี้ ตามรายงานจาก เว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)11 ระบุว่านโยบายล่าสุดได้เน้นไปที่ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. การเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ
  2. การเร่งการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซสำหรับการค้าระหว่างประเทศ
  3. การใช้เครื่องมือและมาตรการภาครัฐเพื่อสนับสนุนเงินทุนและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

1.2 ปัจจัยขับเคลื่อน (Key Drivers) สำหรับผู้ประกอบการไทย

  • ความต้องการสินค้าคุณภาพสูง
    ในหลายตลาดเกิดใหม่ ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีคุณภาพสูง มีมาตรฐานรับรองความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่มีสินค้าที่โดดเด่นทั้งในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ คุณภาพ และการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล
  • เครื่องมือทางเทคโนโลยี
    ภาครัฐและเอกชนได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรองรับการค้าออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ นโยบายส่งเสริมการส่งออกจึงเน้นให้ความรู้และให้การสนับสนุนเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และเข้าถึงผู้บริโภคในต่างแดนได้รวดเร็วขึ้น

2. ภาพรวมสถานการณ์ปัจจุบัน: ข้อมูลสถิติและตัวอย่างความสำเร็จ

2.1 การเติบโตของมูลค่าการส่งออกในช่วงปีล่าสุด

ข้อมูลอัปเดตจาก สำนักข่าวไทย (Thai News Agency)22 ระบุว่า ในรอบปีที่ผ่านมา (ข้อมูลล่าสุดปี 2567) มูลค่าการส่งออกของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยกลุ่มสินค้าที่เติบโตสูง ได้แก่

  1. สินค้าเกษตรแปรรูป เช่น ผลไม้กระป๋อง ผลไม้แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์จากข้าว
  2. สินค้าอุปโภคบริโภคที่เน้นสุขภาพ เช่น สมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา และเครื่องสำอางออร์แกนิก
  3. สินค้าเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

จากการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดโลก พบว่า “ตลาดใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย” กำลังขยายตัวอย่างมากในแถบเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ รวมถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกาที่เริ่มเปิดรับสินค้าจากไทยมากขึ้น ด้วยเหตุที่สินค้าจากไทยมักมีจุดเด่นด้านรสชาติ คุณภาพ และมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม

2.2 ตัวอย่างผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ

  • ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม: แบรนด์ร้านอาหารไทยรายหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับการคัดเลือกให้ไปออกร้านในงานแสดงสินค้านานาชาติที่ดูไบ และประสบความสำเร็จในการเจาะตลาดผู้นำเข้าจากประเทศตะวันออกกลาง เนื่องจากเมนูสุขภาพและรสชาติแบบไทยแท้ที่ปรับสูตรให้เข้ากับความต้องการในท้องถิ่น
  • ธุรกิจเครื่องสำอางสมุนไพร: ผู้ประกอบการ SME ในภาคอีสาน เลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรและแชมพูออร์แกนิก จนได้รับใบรับรองมาตรฐานสากล ทำให้ได้คำสั่งซื้อต่อเนื่องจากตลาดยุโรป ที่ผู้บริโภคสนใจผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีส่วนผสมจากธรรมชาติ

ตัวอย่างความสำเร็จเหล่านี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่านโยบายส่งเสริมการส่งออกของภาครัฐได้ช่วยสร้างโอกาสที่แท้จริงให้แก่ผู้ประกอบการไทย อีกทั้งยังช่วยสร้างแบรนด์ “Made in Thailand” ให้ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในสายตาโลก

3. แนวทางการปฏิบัติและข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย

3.1 ใช้ประโยชน์จากนโยบายและมาตรการรัฐให้เต็มที่

  • สมัครเข้าร่วมโครงการอบรม
    ผู้ประกอบการสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมและสัมมนาที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เพื่อเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจด้านการค้าระหว่างประเทศ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาสินค้าให้ตรงตามมาตรฐานสากล
  • ขอรับคำปรึกษาหรือเงินทุนสนับสนุน
    กระทรวงพาณิชย์ได้มีโครงการสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ หรือเงินทุนหมุนเวียนในระยะสั้นร่วมกับสถาบันการเงิน ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) สามารถขยายการผลิตได้ โดยลดภาระทางการเงิน

3.2 เตรียมกลยุทธ์การตลาดระหว่างประเทศ

  • วิเคราะห์ตลาดเป้าหมายและพฤติกรรมผู้บริโภค
    ก่อนการส่งออก ควรศึกษาวัฒนธรรม พฤติกรรมการซื้อขาย และมาตรฐานที่แต่ละประเทศกำหนดให้ชัดเจน ซึ่งอาจรวมถึงเอกสารการนำเข้า ข้อบังคับด้านสุขอนามัย หรือข้อกำหนดว่าด้วยการติดฉลาก
  • สร้างความแตกต่างของแบรนด์
    ในตลาดโลกที่เต็มไปด้วยสินค้าแข่งกันมากมาย จุดต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของสินค้าจากไทย เช่น รสชาติ สูตรวัตถุดิบเฉพาะ หรือภาพลักษณ์ความเป็นไทย สามารถช่วยสร้างการจดจำและเพิ่มความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคใหม่ได้

3.3 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน

  • ทำตลาดออนไลน์หลายช่องทาง
    ลงทุนในการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก เช่น Amazon, Alibaba, หรือ Shopify รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดีย ทำให้ผู้บริโภคจากหลากหลายประเทศเข้าถึงสินค้าไทยได้สะดวกขึ้น
  • บริหารจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ
    ควรร่วมมือกับบริษัทจัดส่งระหว่างประเทศที่มีเครือข่ายกว้างขวาง เพื่อให้สามารถจัดส่งสินค้าได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมศึกษาเทคโนโลยีการติดตามสถานะสินค้า (Tracking) เพื่อลดต้นทุนและข้อผิดพลาดในการขนส่ง

สรุป: โอกาสและอนาคตของผู้ประกอบการไทยในการค้าระหว่างประเทศ

จากข้อมูลและตัวอย่างที่ได้นำเสนอในบทความนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า “นโยบายส่งเสริมการส่งออก” ของไทยในปัจจุบันมีความเข้มแข็งและครอบคลุมหลากหลายมิติ ทั้งทางด้านมาตรการภาครัฐ การพัฒนาบุคลากร และการผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดล้วนช่วยส่งเสริมให้ “ตลาดใหม่สำหรับผู้ประกอบการไทย” กลายเป็นช่องทางการขยายธุรกิจที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

นอกจากแผนการส่งเสริมนี้จะทำให้ผู้ประกอบการไทยมีโอกาสเติบโตในตลาดต่างประเทศแล้ว ยังเสริมสร้างภาพลักษณ์ “Made in Thailand” ให้แข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ยั่งยืน ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการเตรียมพร้อมด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม ติดตามข่าวสาร และปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ตลาดและเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเสมอ

ดังนั้น หากท่านกำลังวางแผนขยายธุรกิจไปสู่ตลาดสากล อย่าพลาดโอกาสในการใช้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมการส่งออกครั้งนี้นะครับ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเริ่มต้นวางกลยุทธ์ในการค้าระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและก้าวทันโลกอยู่เสมอ

อ้างอิงแหล่งข้อมูล

  1. กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)
  2. สำนักข่าวไทย (Thai News Agency) – รายงานสถานการณ์ส่งออกปี 2567 (เข้าถึงเมื่อมกราคม 2568)

ส่งออกอาหารแห้ง: โอกาสทองของธุรกิจไทยในตลาดโลก

อาหารแห้งเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก ด้วยความหลากหลาย รสชาติอร่อย และเก็บรักษาได้นาน ทำให้อาหารแห้งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก สำหรับผู้ประกอบการไทย การส่งออกอาหารแห้งถือเป็นโอกาสทองในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นการส่งออก ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน กระบวนการ และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งออกเป็นไปอย่างราบรื่น

ขั้นตอนและวิธีการส่งออกอาหารแห้ง

การส่งออกอาหารแห้งมีขั้นตอนที่สำคัญดังนี้

  1. การเตรียมความพร้อม:
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์: สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารแห้งที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย และตรงตามความต้องการของตลาดเป้าหมาย
    • บรรจุภัณฑ์: เลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ช่วยรักษาคุณภาพของสินค้า และดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค
    • การขอใบอนุญาต: ตรวจสอบและขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งออกอาหารจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
  2. การหาตลาด:
    • วิเคราะห์ตลาด: ศึกษาข้อมูลตลาดเป้าหมาย เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค คู่แข่ง และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
    • การหาลูกค้า: เข้าร่วมงานแสดงสินค้า ติดต่อผู้ซื้อโดยตรง หรือใช้บริการตัวแทนจำหน่าย
  3. การเตรียมเอกสาร:
    • เอกสารส่งออก: เตรียมเอกสารส่งออกที่จำเป็น เช่น ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration), ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice), ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
    • เอกสารอื่นๆ: อาจต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง เช่น ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) หรือใบรับรองการวิเคราะห์ (Analysis Certificate)
  4. การขนส่ง:
    • เลือกวิธีการขนส่ง: เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมกับสินค้าและประเทศปลายทาง เช่น การขนส่งทางเรือ ทางอากาศ หรือทางบก
    • การทำประกันภัย: ทำประกันภัยสินค้าเพื่อป้องกันความเสียหายหรือสูญหายระหว่างการขนส่ง
  5. การดำเนินพิธีการศุลกากร:
    • การชำระภาษี: ชำระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง
    • การตรวจปล่อยสินค้า: รอการตรวจปล่อยสินค้าจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร

ตลาดส่งออกอาหารแห้งที่น่าสนใจ

ตลาดส่งออกอาหารแห้งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่

  • จีน: ตลาดขนาดใหญ่ที่มีความต้องการอาหารแห้งหลากหลายประเภท
  • สหรัฐอเมริกา: ตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและเปิดรับสินค้าอาหารจากต่างประเทศ
  • ญี่ปุ่น: ตลาดที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร
  • สหภาพยุโรป: ตลาดที่มีกฎระเบียบด้านอาหารที่เข้มงวด แต่ก็มีโอกาสสำหรับสินค้าที่มีคุณภาพสูง
  • อาเซียน: ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และมีความต้องการอาหารแห้งเพิ่มขึ้น

เอกสารที่ใช้ในการส่งออกอาหารแห้ง

เอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการส่งออกอาหารแห้ง ได้แก่

  • ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration)
  • ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice)
  • ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
  • ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate)
  • ใบรับรองการวิเคราะห์ (Analysis Certificate)
  • เอกสารอื่นๆ ตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง

ความต้องการอาหารแห้งในต่างประเทศ

ความต้องการอาหารแห้งในต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก

  • การเติบโตของประชากร: ประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต: ผู้คนมีเวลาน้อยลงในการทำอาหาร ทำให้อาหารแห้งที่สะดวกและรวดเร็วเป็นที่นิยม
  • ความสนใจในสุขภาพ: ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้ความต้องการอาหารแห้งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น

กฎระเบียบด้านอาหารในประเทศปลายทาง

แต่ละประเทศมีกฎระเบียบด้านอาหารที่แตกต่างกัน ผู้ส่งออกควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการส่งออก

ส่งออกอาหารแห้งอย่างมั่นใจ ไปกับ SME Shipping

SME Shipping พร้อมสนับสนุนธุรกิจของคุณในการส่งออกอาหารแห้งไปทั่วโลก ด้วยบริการที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้

  • บริการจัดส่งที่หลากหลาย: เลือกบริการที่เหมาะกับความต้องการของคุณ ทั้งการส่งด่วน การส่งแบบประหยัด หรือการส่งสินค้าขนาดใหญ่
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีการศุลกากร: ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในการดำเนินพิธีการศุลกากร ทำให้การส่งออกของคุณราบรื่นไร้กังวล
  • ติดตามสถานะการจัดส่ง: ตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความอุ่นใจ

พร้อมส่งออกอาหารแห้งไปทั่วโลกแล้วหรือยัง? ติดต่อ SME Shipping วันนี้

  • LINE: @Shipping
  • โทร: 021057777

การส่งออกอาหารแห้งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายธุรกิจไปยังตลาดโลก หากเตรียมความพร้อมอย่างดี ศึกษาตลาดเป้าหมาย และปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถประสบความสำเร็จในการส่งออกได้อย่างแน่นอน

Dropoff คืออะไร? คนทำร้านค้าออนไลน์ต้องรู้จักก่อนเริ่มส่งสินค้า

เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ การขนส่งสินค้าไประหว่างผู้ขายไปยังผู้ซื้อจะเกิดขึ้นทันทีที่มีการสั่งสินค้า โดยผู้ขายหรือร้านค้าออนไลน์จะต้องมีการนำพัสดุไปฝากส่งไว้กับผู้ให้บริการไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือเรียกรถมารับให้ ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการขนส่งสินค้าที่ร้านจะต้องออกไปส่งเองอย่างหรือที่เรียกว่าการ “Dropoff”

Dropoff คืออะไร?

Dropoff คือ การที่ผู้ขายนำพัสดุไปส่งที่สถานที่ที่กำหนดของผู้ให้บริการขนส่งสินค้า เช่น ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, J&T, Flash Express ฯลฯ เพื่อดำเนินการจัดส่งพัสดุให้ถึงมือลูกค้า โดยDropoff มีส่วนช่วยในการส่งสินค้าออนไลน์ให้มีความสะดวกและรวดเร็วในการจัดส่งสินค้ามากขึ้น ช่วยให้ผู้ส่งประหยัดเวลา ไม่ต้องต่อแถวรอทำการจัดส่งเป็นเวลานาน จึงเหมาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ต้องจัดส่งสินค้าเป็นจำนวนมากและไม่อยากเสียเวลารอขนส่งมารับเองที่บ้าน

ข้อดีของ Dropoff สำหรับร้านค้าออนไลน์มีอะไรบ้าง?

 ในการขนส่งสินค้าแบบ Dropoff มีข้อดีที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ดังนี้

  1.     ประหยัดเวลาในการส่งสินค้า จากเดินที่ต้องรอเจ้าหน้าที่ขนส่งมารับพัสดุที่บ้านหรือร้านเอง แต่เมื่อผู้ขายสามารถนำพัสดุไปส่งยังจุด Dropoff ได้ทันทีก็จะช่วยให้สินค้าไปยังมือผู้รับได้รวดเร็วขึ้น
  2.     จุด Dropoff มีหลายเจ้า หลายราคาให้เลือกใช้ อีกทั้งยังมีจุดบริการต่างกันออกไปมีหลายแห่งกระจายอยู่ในชุมชน เช่น ร้านสะดวกซื้อหรือศูนย์บริการขนส่ง ซึ่งทำให้ผู้ขายสามารถเลือกส่งในเวลาที่สะดวกที่สุด
  3.     ส่งเร็วทันใจ ได้เลขแทร็คติดตามพัสดุทันที เพราะเมื่อมาถึงจุด Dropoff ผู้ขายเพียงแจ้งข้อมูลหรือสแกนบาร์โค้ดจากระบบขนส่ง เจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการออกเลขพัสดุให้ ทำให้ผู้ขายสามารถยืนยันการส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ในทันที
  4.     เหมาะสำหรับร้านค้าที่ต้องส่งสินค้าหลายรายการในแต่ละวัน เพราะเป็นบริการที่รองรับปริมาณพัสดุจำนวนมาก สามารถส่งสินค้าได้มากกว่า 50 ชิ้นต่อวัน

วิธีการ Dropoff พัสดุกับบริษัทขนส่ง

  1.     พิมพ์ใบปะหน้าพัสดุ (Shipping Label) จากระบบขนส่ง
  2.     ติดใบปะหน้าบนกล่องพัสดุ
  3.     นำไปส่งที่จุด Dropoff และรับใบเสร็จยืนยัน
  4.     จ่ายค่าบริการขนส่งจะคำนวณล่วงหน้าในระบบ (ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของบริษัทขนส่ง) ซึ่งจุด Dropoff บางแห่งอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในกรณีพิเศษ

 

วิธี Dropoff: ส่งของง่าย ใกล้คุณ

เพียงคุณปริ้น ใบปะหน้า (Shipping Label) จากระบบของ SME SHIPPING แล้วนำพัสดุไป Dropoff ได้ที่ ไปรษณีย์ไทยทุกสาขาทั่วประเทศ ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:

  1. สร้างออเดอร์ผ่านระบบ SME SHIPPING
  2. ปริ้นใบปะหน้าและติดลงบนพัสดุ
  3. นำพัสดุไปส่งที่ไปรษณีย์ใกล้บ้าน

เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการส่งของในเวลาเร่งด่วน หรือสะดวกนำส่งเอง

บริการ Pickup: ทีมงานมืออาชีพ รับถึงหน้าบ้าน

หากคุณไม่มีเวลาออกไป Dropoff ไม่ต้องกังวล! SME SHIPPING มีบริการ เรียกรถเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย เพียงแจ้งข้อมูลพัสดุและเลือกเวลาที่สะดวก ทีมงานของเราจะเข้าไปรับถึงที่ เพื่อให้การส่งของของคุณรวดเร็วและไร้กังวล

ทำไมต้องเลือก SME SHIPPING?

  • สะดวก: มีทั้งบริการ Dropoff และ Pickup ให้เลือก
  • ครอบคลุม: บริการทั่วประเทศ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
  • มั่นใจได้: จัดส่งด้วยระบบที่ปลอดภัย พร้อมการติดตามสถานะพัสดุ

เริ่มต้นใช้งาน SME SHIPPING ได้เลยวันนี้!

เลือกวิธีการส่งที่เหมาะกับคุณ ไม่ว่าจะเป็น Dropoff หรือ Pickup แล้วเตรียมสัมผัสประสบการณ์ส่งพัสดุที่รวดเร็วและง่ายที่สุดกับ SME SHIPPING

สมัครสมาชิก และ เริ่มส่งของ ได้ทันทีที่ SME SHIPPING หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมงานของเรา พร้อมดูแลคุณทุกขั้นตอน!

ใบกํากับสินค้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Invoice) ที่ควรรู้ก่อนเริ่มส่งออกสินค้า

ก่อนทำธุรกิจส่งออกสินค้า หรือทำการติดต่อการค้าระหว่างประเทศ มีสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือการจัดการเอกสารทุกอย่างให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขนส่งสินค้าทุกประเภท ซึ่งหนึ่งในเอกสารสำคัญที่ที่เรียกว่า ใบกํากับสินค้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Invoice) เป็นเอกสารที่บริษัท และคนที่ต้องการทำธุรกิจส่งออกสินค้าต้องศึกษาและมีความแม่นยำในการตรวจเช็กเอกสาร เพื่อให้การขนส่งสินค้านั้นๆ ถึงมือผู้รับโดยสวัสดิภาพ

Commercial Invoice คืออะไร?

Commercial Invoice คือ ใบกํากับสินค้าเชิงพาณิชย์ที่ใช้เป็นเอกสารที่ยืนยันการจำหน่ายและโอนกรรมสิทธิ์สินค้าระหว่างผู้นำเข้ากับผู้ส่งออก โดยเอกสารนี้ใช้สำหรับแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า ธุรกรรมการค้า และช่วยในขั้นตอนการผ่านพิธีศุลกากรทั้งในประเทศต้นทางและปลายทาง เพื่อให้เข้าใจการจัดเตรียมและการใช้งานใบกำกับสินค้าอย่างถูกต้อง

 Commercial Invoice มีความสำคัญยังไง?

ใบกํากับสินค้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Invoice) เป็นเอกสารที่ผู้ขาย (Exporter) ออกให้กับผู้ซื้อ (Importer) เพื่อยืนยันรายละเอียดการขาย มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการส่งออกและนำเข้าสินค้า เพราะเป็นเอกสารหลักที่ใช้ในหลายขั้นตอน ตั้งแต่การค้าระหว่างประเทศจนถึงการผ่านพิธีศุลกากร ดังนี้

  1. ใช้เป็นหลักฐานการซื้อขายระหว่างประเทศ ในการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่ขายและเงื่อนไขของการทำธุรกรรม เช่น ราคาสินค้า ปริมาณ เงื่อนไขการส่งมอบ การชำระเงิน และช่วยป้องกันข้อขัดแย้งระหว่างผู้ซื้อ (Importer) และผู้ขาย (Exporter)
  2. ใช้เป็นเอกสารที่ศุลกากรในประเทศต้นทางและปลายทางใช้ตรวจสอบสินค้า เพื่อคำนวณภาษีอากรนำเข้าและส่งออก รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่นๆ ซึ่งหากข้อมูลใน Commercial Invoice ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้สินค้าติดขัดในการผ่านพิธีศุลกากร
  3. ใช้เป็นข้อมูลในการคำนวณมูลค่าภาษี เช่น มูลค่าสินค้า เงื่อนไขการส่งมอบ (FOB, CIF ฯลฯ) และต้นทุนการขนส่ง ในการคำนวณอัตราภาษีที่ต้องจ่าย
  4. ใช้ยืนยันการชำระเงินระหว่างประเทศที่มีการซื้อขายทำผ่านธนาคาร (เช่น Letter of Credit หรือ L/C) แล้วธนาคารต้องการใบกํากับสินค้าเพื่อยืนยันธุรกรรม ผู้ซื้อก็สามารถใช้ใบกำกับสินค้าหรือเอกสารตัวนี้ไปในการขอชำระเงินจากธนาคารหรือส่งต่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้
  5. ใช้ในการจัดการขนส่งสินค้า ใบกำกับสินค้ามีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง เช่น รายละเอียดสินค้า ปริมาณ และเงื่อนไขการส่งมอบ ทำให้ผู้ให้บริการขนส่งสามารถดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง
  6. ใช้เป็นเอกสารทางกฎหมายที่ช่วยยืนยันข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น สินค้าไม่ตรงตามสเปก หรือมีข้อพิพาทเรื่องราคา ใบกำกับสินค้าจะใช้เป็นหลักฐานในการเจรจาหรือดำเนินการทางกฎหมาย
  7. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ เสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือให้กับผู้ขาย และช่วยสร้างความมั่นใจให้คู่ค้าและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

Commercial Invoice ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง?

การจัดเตรียม Commercial Invoice อย่างถูกต้องและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาในกระบวนการค้าระหว่างประเทศและการผ่านพิธีศุลกากร ต่อไปนี้คือข้อมูลที่ควรระบุในเอกสาร

  1.     ชื่อและที่อยู่ของผู้ขาย (ผู้ส่งออก) และผู้ซื้อ (ผู้นำเข้า)
  2.     รายละเอียดของสินค้า ชื่อสินค้า ปริมาณสินค้า ราคาต่อหน่วย และราคารวม
  3.     วันที่ออกใบกำกับสินค้า หมายเลขเอกสาร รวมถึงการอ้างอิงหมายเลขคำสั่งซื้อ หรือ สัญญาที่ระบุและตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้า
  4.     ข้อตกลงการส่งมอบสินค้า (Incoterms)
  5.     ข้อตกลงการชำระเงิน (Payment Terms)
  6.     สถานที่ขนส่งสินค้าต้นทางและปลายทาง
  7.     น้ำหนักสินค้า จำนวนหีบห่อ เครื่องหมายการจัดส่งสินค้า (Shipping Mark)
  8.     ลายเซ็นและตราประทับรับรองโดยผู้ขาย (ผู้ส่งออก)

 

Commercial Invoice เป็นมากกว่าเอกสารธรรมดา เพราะเป็นใบกํากับสินค้าเชิงพาณิชย์ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านกฎหมาย การดำเนินธุรกรรม การขนส่ง และการจัดการภาษี การเตรียม Commercial Invoice ที่ครบถ้วนและถูกต้องช่วยให้กระบวนการส่งออกสินค้าดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกใช้บริการขนส่งที่มีความรู้ และประสบการณ์ด้านการขนส่งสินค้าส่งออกต่างประเทศอย่าง SME SHIPPING ก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่าง รวดเร็ว และถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัยไร้กังวล 

ข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ FOB

ช่วงที่ 1 : ทำความรู้จักกับ FOB (Free on Board)

การนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นกิจกรรมสำคัญที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าด้วยกัน ในกระบวนการนี้ หนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในการขนส่งสินค้าคือ FOB หรือ Free on Board ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการกำหนดเงื่อนไขของการขนส่งสินค้าในตลาดระหว่างประเทศ ในบทความนี้ เราจะพิจารณาถึงความหมายพื้นฐานและความสำคัญของ FOB ในการค้าระหว่างประเทศ

การนิยามโดยพื้นฐานของ FOB

FOB (Free on Board) เป็นเงื่อนไขในเอกสารขนส่งซึ่งระบุว่าผู้ขายต้องรับผิดชอบการส่งสินค้าไปยังสถานที่จัดส่ง และพอสินค้าขึ้นบนเรือแล้ว ความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ในทางกลับกันก็หมายความว่า หากสินค้าถูกโหลดขึ้นเรือที่ท่าเรือของประเทศผู้ส่งออกเมื่อไหร่ ผู้ซื้อก็จะเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับสินค้าตั้งแต่จุดนั้นเป็นต้นไป

ความสำคัญของ FOB ในการค้าระหว่างประเทศ

การทำความเข้าใจเงื่อนไข FOB นั้นสำคัญมากในการค้าระหว่างประเทศเพราะมันช่วยกำหนดความรับผิดชอบของค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในกระบวนการขนส่งสินค้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ซึ่งได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าประกัน และค่าท่าเรือ การกำหนดเรื่องเหล่านี้ไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเข้าใจผิดและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
FOB ยังช่วยให้ผู้ซื้อสามารถควบคุมต้นทุนกระบวนการขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ผู้ซื้อมีข้อตกลงกับบริษัทขนส่งที่พวกเขาไว้วางใจได้มากกว่า นอกจากนี้ การใช้เงื่อนไข FOB ยังเป็นการรับรองถึงความโปร่งใสในกระบวนการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะในแง่ของการทำประกันภัยและจัดการกับโลจิสติกส์
ในสรุป FOB เป็นองค์ประกอบสำคัญในการค้าระหว่างประเทศที่ทุกฝ่ายควรเข้าใจและนำไปปฏิบัติ เพื่อการจัดการความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ กับการใช้พื้นฐานนี้ ผู้ประกอบการสามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าและขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิผล

ช่วงที่ 2 : ความแตกต่างระหว่าง Shipping Point และ Destination

FOB หรือ Free On Board เป็นข้อกำหนดในการส่งสินค้าที่กำหนดว่าความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงต่อสินค้าจะถูกโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อที่จุดใดของกระบวนการขนส่ง คำนี้มักใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อชี้แจงเงื่อนไขการขนส่งและการโอนกรรมสิทธิ์ของสินค้านั้นๆ

FOB Shipping Point กับ FOB Destination

FOB Shipping Point หมายความว่าความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าจะถูกโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อตั้งแต่สินค้าถูกส่งออกจากโกดังหรือจุดที่เป็น origin นั่นหมายถึงผู้ซื้อต้องรับภาระความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่สินค้าออกจากผู้ขาย
FOB Destination ตรงกันข้ามกับ FOB Shipping Point, หมายถึงสินค้าจะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ขายจนถึงเมื่อสินค้าถึงผู้ซื้อที่จุดหมายปลายทาง ในเงื่อนไขนี้ ผู้ขายต้องรับภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งจนกระทั่งสินค้าส่งถึงมือผู้ซื้อ

ผลกระทบทางกฎหมายและความรับผิดชอบ

ทั้ง FOB Shipping Point และ FOB Destination มีผลกระทบทางกฎหมายและต่อความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาหรือความเสียหายระหว่างการขนส่ง[6]. ในเงื่อนไข FOB Shipping Point, หากสินค้าได้รับความเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง, ผู้ซื้อจะเป็นฝ่ายต้องรับความเสี่ยงนั้น. ส่วนใน FOB Destination, ผู้ขายจะต้องรับความเสี่ยงจนกว่าสินค้าจะส่งถึงมือผู้ซื้ออย่างปลอดภัย
การเลือกใช้ FOB Shipping Point หรือ FOB Destination จึงมีความสำคัญในการกำหนดความรับผิดชอบในแต่ละฝ่ายตามกฎหมาย และควรมีการระบุอย่างชัดเจนในสัญญาการค้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่เข้าใจและปัญหาในภายหลัง

ช่วงที่ 3 : ความสำคัญของ FOB (Free on Board)

เพื่อธุรกรรมการส่งออกและนำเข้าที่ราบรื่นในประเทศไทย, การใช้และเข้าใจคำศัพท์ FOB (Free On Board) เป็นสิ่งสำคัญ. เนื่องจากคำนี้ช่วยในการระบุว่าภาระด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าถูกโอนจากผู้ขายไปที่ผู้ซื้อจุดใดบนเส้นทางการขนส่งสินค้า.

FOB กับการนำเข้าและส่งออกสินค้าในประเทศไทย

การส่งออก : สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย, สามารถใช้เงื่อนไข FOB ได้, นั่นคือ ผู้ขายโอนความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อ. สำหรับข้อตกลง FOB, ผู้ขายที่เป็นฝ่ายส่งออกจะรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจนถึงเมื่อสินค้าถึงที่ปลายทาง.
การนำเข้า : เมื่อภาชนะเรือของบริษัทส่งออกถึงท่าเรือในประเทศไทย, สินค้าจะถือว่าโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ และผู้ซื้อจะมีความรับผิดชอบในการจัดการและการจ่ายค่าใช้จ่ายต่อไป.

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

ทำความเข้าใจในภาระความรับผิดชอบ : ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจตรงที่รับผิดชอบความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายของตนเองในข้อตกลง FOB ไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองของผู้ส่งหรือผู้รับสินค้า.
มีการสื่อสารที่ชัดเจน : เข้าใจโดยละเอียดว่า FOB Shipping Point และ FOB Destination หมายถึงอะไร, และการสื่อสารที่ชัดเจนกับคู่สัญญาระหว่างฝ่ายซื้อขายเพื่อป้องกันข้อเข้าใจผิด.
ระบุใบส่งสินค้าด้วยความชัดเจน : ในหลายกรณีชั้นสูง, ใบส่งสินค้าควรระบุเป็นชัดว่าการขนส่งสินค้าอยู่ในสภาพ FOB shipping point หรือ FOB destination.
มีกรมธรรม์ประกันภัยที่พอเหมาะ : กรมธรรม์ประกันภัยด้านการขนส่งสินค้าสามารถช่วยปกป้องภาระความเสี่ยงที่ผู้ส่งหรือผู้รับสินค้า ผู้ประกอบการควรพิจารณาไว้ว่าควรมีกรมธรรม์ประกันภัยแบบใดกับสินค้าของเขา.
โดยรวมแล้ว, เพื่อให้การทำธุรกิจส่งออกและนำเข้าสำเร็จอย่างราบรื่น, ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการค้าและเงื่อนไขการขนส่งสินค้า, ประเด็นที่สำคัญในการวางแผนและการดำเนินงานที่ความรู้เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศ.

ช่วงที่ 4 : FOB กับมาตรฐานในการจัดส่งสินค้า

การซื้อขายระหว่างประเทศมีการใช้เงื่อนไขมาตรฐานในการจัดส่งสินค้า เพื่อความชัดเจนในหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ขายและผู้ซื้อ โดย Incoterms (International Commercial Terms) คือกฎหมายมาตรฐานที่ใช้กำหนดเงื่อนไขเหล่านี้ ในบทความนี้ จะเน้นไปที่การเปรียบเทียบ FOB (Free On Board) กับเงื่อนไขการจัดส่งอื่น ๆ ตามมาตรฐาน Incoterms เช่น CIF (Cost, Insurance and Freight), EXW (Ex Works), และอื่น ๆ

FOB (Free On Board)

FOB นิยมใช้ในการขนส่งทางเรือ ผู้ขายต้องจัดการขนสินค้ามายังเรือและดูแลค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งสินค้าขึ้นเรือแล้ว หลังจากนั้น ความรับผิดชอบจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องดูแลค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

CIF (Cost, Insurance and Freight)

CIF เหมาะกับการขนส่งทางเรือเช่นกัน แต่ผู้ขายจะรับหน้าที่ในการจ่ายค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง ความเสี่ยงของสินค้าจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าข้ามขอบฝั่งเรือ

EXW (Ex Works)

EXW ให้ความรับผิดชอบน้อยที่สุดกับผู้ขาย โดยผู้ซื้อจะต้องดูแลทุกอย่างตั้งแต่การรับสินค้าจากโรงงานของผู้ขาย รวมถึงการขนส่ง, ประกันภัย และอื่น ๆ นี่คือเงื่อนไขที่วางภาระบนผู้ซื้อมากที่สุด

เปรียบเทียบสรุป

FOB: ผู้ขายรับผิดชอบจนสินค้าอยู่บนเรือ จากนั้นผู้ซื้อรับความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย
CIF: ผู้ขายรับผิดชอบค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าข้ามขอบฝั่งเรือ
EXW: ผู้ซื้อรับความรับผิดชอบทั้งหมดตั้งแต่รับสินค้าจากโรงงานของผู้ขาย
การเลือกใช้เงื่อนไขใดขึ้นอยู่กับการพิจารณาทั้งความเสี่ยง, ค่าใช้จ่าย และความสะดวกในการจัดการ ทั้งนี้ควรมีการเจรจาและวางแผนล่วงหน้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อหาข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายในแต่ละครั้งการค้า.

ช่วงที่ 5 : เงื่อนไขของ FOB ในด้านการจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง

การจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าภายใต้เงื่อนไข FOB (Free On Board) นั้นต้องการการวางแผนและการตัดสินใจที่รอบคอบเกี่ยวกับประกันภัยและการขนส่ง เนื่องจากเงื่อนไข FOB กำหนดให้ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าที่ชายฝั่งขนส่ง หลังจากนั้นความรับผิดชอบและความเสี่ยงต่างๆ จะถ่ายโอนไปยังผู้ซื้อ การวางแผนล่วงหน้าและการมีการประกันภัยที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การตัดสินใจเกี่ยวกับการประกันภัย

การประกันภัยในการขนส่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ซื้อและผู้ขายอาจต้องเผชิญ รวมถึงความเสียหายหรือการสูญหายของสินค้า การตัดสินใจเกี่ยวกับการประกันภัยควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
การประเมินความเสี่ยง: พิจารณาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าระหว่างการขนส่ง เช่น เส้นทางการขนส่ง, ชนิดของสินค้า, และค่าของสินค้า
เลือกประกันภัยที่เหมาะสม: มีแผนประกันภัยหลายประเภทที่ให้ความครอบคลุมต่างกัน ตัวอย่างเช่น ประกันภัย All Risks ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงส่วนใหญ่ และประกันภัย Named Perils ที่ครอบคลุมเฉพาะความเสี่ยงที่ระบุเท่านั้น
การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายกับคุณค่าของการประกัน: จำเป็นต้องเทียบค่าใช้จ่ายของการซื้อประกันภัยกับคุณค่าของสินค้าและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
การตัดสินใจเกี่ยวกับการขนส่ง
การเลือกวิธีการและบริษัทขนส่งสินค้าเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจสำคัญที่ต้องทำภายใต้เงื่อนไข FOB
เลือกบริษัทขนส่งที่เชื่อถือได้: ควรเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์และมีชื่อเสียงดีในอุตสาหกรรม รวมถึงตรวจสอบรีวิวและขอรายการอ้างอิง
เจรจาเงื่อนไขการขนส่ง: รวมถึงการกำหนดราคา, เวลาในการขนส่ง, และการตกลงเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินหรือความล่าช้า
ตรวจสอบความครอบคลุมของการขนส่ง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริการขนส่งครอบคลุมทั้งกระบวนการจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดปลายทาง และมีการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง
การจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งภายใต้เงื่อนไข FOB ต้องการการวางแผนและการมีสติในการตัดสินใจที่ครอบคลุมทั้งในด้านการประกันภัยและการเลือกบริษัทขนส่ง เพื่อให้กระบวนการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น.

มือใหม่ควรรู้! ส่งออกสินค้าครั้งแรก เริ่มต้นอย่างไรดี?

 การเริ่มต้นธุรกิจส่งออกเป็นก้าวสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งหากมีการวางแผนที่ดี มีการวิเคราะห์การตลาด เป้าหมาย และเลือกขนส่งที่มั่นใจได้จะช่วยผลักดันธุรกิจของคุณให้เติบโตและเข้าถึงตลาดโลกได้กว้างขึ้นด้วย แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบ  ซึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่ากลัว วันนี้ SME SHIPPING เราจะมาไขข้อข้องใจและให้คำแนะนำเบื้องต้น เพื่อให้นักธุรกิจมือใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจส่งออกได้อย่างมั่นใจ

 

ธุรกิจส่งออกคืออะไร?

ธุรกิจส่งออก คือ การประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง เพื่อการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการขยายตลาด เพิ่มฐานลูกค้าไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสินค้าที่คนนิยมส่งออกมักจะเป็นสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีความต้องการของผู้ซื้อจากต่างประเทศ และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าจนสามารถสร้างกำไรให้ผู้ประกอบการได้

 

 ขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก

การส่งออกสินค้าเป็นก้าวสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาด และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่ทำอยู่ให้มีฐานลูกค้า และกำไรที่เพิ่มขึ้น และขั้นตอนต่อไปนี้เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้ธุรกิจส่งออกสำหรับมือใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น ดังนี้

  1. วิเคราะห์กลุ่มลูกค้าและสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด

ก่อนทำธุรกิจส่งออก การสำรวจตลาดสินค้า ที่ต้องการส่งออกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย และศึกษาข้อมูลตลาดเป้าหมายอย่างละเอียด เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค กฎระเบียบ ข้อบังคับทางการค้า และคู่แข่ง จะช่วยให้มือใหม่ทั้งหลายที่ต้องการส่งสินค้าส่งออกสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงจุด

  1. เตรียมเอกสารการผลิตให้ครบถ้วน

ในการทำสินค้าส่งออกไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใด จะต้องตรวจสอบว่าสินค้าของคุณต้องมีใบอนุญาตใดบ้าง เช่น ใบอนุญาตส่งออกสินค้าควบคุม มีใบกำกับสินค้าที่ระบุรายละเอียดสินค้า ราคา จำนวน และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบตราส่งสินค้าที่เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของสินค้า และสำหรับสินค้าบางชนิดอาจต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า(ผลิตที่ไหน) ใบรับรองสุขอนามัย(อย./มอก.) และใบรับรองคุณภาพอื่นๆ ตามระเบียบข้อบังคับของประเทศปลายทาง

 

  1. ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องภาษีและอากร

การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ผู้ประกอบการจะต้องทำการศึกษาเรื่องภาษีให้รอบคอบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ภาษีส่งออกที่เป็นภาษีที่ต้องชำระเมื่อส่งสินค้าออกจากประเทศ และภาษีนำเข้าที่เป็นภาษีที่ประเทศปลายทางเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้า รวมทั้งอากรขาเข้าที่เรียกเก็บจากสินค้าบางประเภท เพื่อให้สามารถนำเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง

  1. เลือกบริษัทขนส่งที่มั่นใจ

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีความน่าเชื่อถือ และมีรีวิวจากลูกค้าสามารถช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจการส่งออกได้อย่างราบรื่น ซึ่งสามารถพิจารณาและเลือกได้จาก

  • การเปรียบเทียบราคา เลือกบริษัทที่มีค่าขนส่งที่เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งไว้
  • มีบริการส่งพัสดุไปยังหลากหลายประเทศ เช่น บริการขนส่งของ SME SHIPPING ที่ให้บริการขนส่งของจากไทยไปอเมริกา จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน
  • มีบริการเสริมอื่นๆ เช่น ประกันภัย การติดตามสินค้าที่ผู้ส่งสามารถติดตามสินค้าได้เองตลอดเวลา

 

การขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจส่งออก มีกี่ช่องทาง?

การเลือกช่องทางการส่งสินค้าที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจส่งออก เพราะจะส่งผลต่อต้นทุน เวลาในการขนส่ง และความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งช่องทางการส่งสินค้าหลักๆ ของSME SHIPPING มีดังนี้

  1. การขนส่งทางบก เหมาะสำหรับสินค้าที่ขนส่งระหว่างประเทศที่ติดกัน มีความยืดหยุ่นในการขนส่ง ซึ่งเป็นช่องทางการขนส่งที่สามารถขนส่งสินค้าได้หลากหลายประเภท
  2. การขนส่งทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีปริมาณมาก น้ำหนักมาก หรือต้องการส่งเป็นจำนวนมากต่อครั้ง เช่น สินค้าเกษตร วัตถุดิบ ของใช้ หรือสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป
  3.  การขนส่งทางอากาศ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง น้ำหนักเบา เป็นสินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอะไหล่ สิ่งของที่มีมูลค่า เป็นต้น

สิ่งที่ควรคำนึงเมื่อต้องส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศ

การส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศนั้นต้องมีความรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้รับในสภาพที่ยังคงสามารถใช้งานได้และไม่ผิดกฎหมายของประเทศปลายทาง โดยการขนส่งที่เราแนะนำที่สุดนาการขนส่งสินค้าที่มีวันหยุดอายุเพื่อให้ไปถึงมือผู้รับได้อย่างรวดเร็วที่สุดคือ การขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเป็นการขนส่งที่รวดเร็วที่สุดจนไม่ต้องกังวลเรื่องวันหมดอายุของสินค้า แต่สำหรับบางคนที่ไม่สะดวกต่อการขนส่งทางอากาศจะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้สินค้าที่ส่งไปไม่เสียหาย หรือหมดอายุในระหว่างการขนส่งมาเช็คลิสต์ต่อไปนี้พร้อมๆ กันเลย

1.กฎระเบียบของประเทศปลายทาง

ก่อนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอย่าลืมเช็คก่อนว่าประเทศนั้นๆ มีกฎข้อห้าม หรือมีสินค้าต้องห้ามใดบ้างที่ไม่อนุญาตให้นำเข้าในประเทศ เนื่องจากการส่งสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตไปอาจทำให้คุณเสียค่าส่งไปฟรี ๆ โดยในแต่ละประเทศนั้นมีสินค้าต้องห้ามแตกต่างกันไป อาทิ

  • อาหารและเครื่องดื่ม: แต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารและเครื่องดื่ม อาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทของสินค้า ปริมาณ และเอกสารที่ต้องใช้
  • ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ: สินค้าประเภทนี้มักมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการนำเข้า ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • สินค้าเกษตร: พืชผลทางการเกษตรอาจมีข้อจำกัดในการนำเข้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคพืชและศัตรูพืช
  • เอกสารที่ต้องใช้: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเอกสารที่จำเป็นครบถ้วน เช่น ใบรับรองแหล่งที่มา ใบอนุญาตนำเข้า และใบกำกับสินค้า

2.ระยะเวลาในการขนส่ง

ระยะเวลาในการขนส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสดใหม่ของสินค้า และความพึงพอใจของผู้รับสินค้า ซึ่งระยะทางระหว่างประเทศต้นทางและปลายทางมีผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการขนส่ง ยิ่งระยะทางไกล ยิ่งใช้เวลานาน ดังนั้นการเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมจะช่วยให้สินค้าถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและยังคงคุณภาพอยู่

3.บรรจุภัณฑ์

การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรง ทนทานจะช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวภายในกล่องและความเสียหาย นอกจากนั้นการเลือกกล่องพัสดุที่หนา แข็งแรง ได้มาตรฐานก็จะทำให้วัสดุที่จัดส่งไปต่างประเทศอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเมื่อถึงมือผู้รับ

4. ฉลากสินค้า

การติดฉลากสินค้าให้ชัดเจนระบุชื่อสินค้า วันหมดอายุ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้พนักงานจัดส่ง สามารถจำแนกประเภทของสินค้าเพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้นอีก ดังนั้นก่อนจัดส่งพัสดุหรือสินค้าทุกครั้งผู้ส่งต้องทำการตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าก่อนทำการส่งมอบแก่พนักงานรับพัสดุทุกครั้ง

5.อุณหภูมิในการขนส่ง

สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าแช่แข็ง หรือสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิ จะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิตลอดการขนส่ง ดังนั้นการควบคุมอุณหภูมิในการขนส่งให้เหมาะสมกับชนิดของสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิ เช่น อาหารแช่แข็งที่ต้องถูกบรรจุอยู่ในพัสดุเก็บความเย็นอย่างดีตั้งแต่ขั้นตอนการบรรจุลงกล่อง รวมทั้งรถ หรือตู้โดยสารของพัสดุที่ต้องมีอุณภูมิที่เหมาะสมต่อสินค้านั้นๆ เพื่อให้สินค้ามีสภาพเดียวกับต้นทางไปยังปลายทาง

6. วางแผนการส่งสินค้าล่วงหน้า

 หากสินค้าที่ต้องจัดส่งมีวันหมด จะต้องทำการอายุวางแผนเส้นทางและขั้นตอนการขนส่งล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความล่าช้า และสินค้าหมดอายุก่อนถึงมือผู้รับ เนื่องจากในบางครั้งอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดในระหว่างการขนส่งได้ การวางแผนส่งสินค้าล่วงหน้าจึงเป็นวิธีรับมือที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศ

 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

ก่อนส่งต้องรู้! วิธีคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งพัสดุที่ถูกต้อง ก่อนส่งของไปต่างประเทศ

การส่งสินค้าไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็จำเป็นที่จะต้องมีการเสียค่าขนส่งพัสดุมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่น้ำหนัก และชนิดของสินค้าที่ส่ง ดังนั้น การคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งพัสดุก่อนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไป เพื่อให้การส่งพัสดุของคุณไปยังผู้รัยบปลายทางอย่างราบรื่นและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด

 

ทำไมต้องคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งก่อนส่งสินค้า?

การคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งจะช่วยให้ผู้ส่งสามารถประมาณการค่าใช้จ่าย และวางแผนงบประมาณการส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งการคำนวณค่าพัสดุที่ถูกต้องยังช่วยป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายเกินจริง หรือการส่งมอบล่าช้า รวมทั้งสินค้าบางรายการที่ต้องทำประกันสินค้าตั้งแต่ขั้นตอนการขนส่ง ดังนั้น หากรู้จักการคำนวณค่าขนส่งพัสดุที่ถูกต้องและแม่นยำแล้ว ก็จะทำให้สามารถส่งสินค้าไปยังต่างประเทศได้ตามงบที่กำหนดไว้

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าขนส่ง

ในการขนส่งสินค้าไม่ว่าจะเป็นการส่งภายในประเทศ หรือส่งไปยังต่างประเทศ ทางผู้ให้บริการส่งสินค้าจะมีการเรียกเก็บค่าขนส่งของสินค้านั้นๆ ตามความเป็นจริง โดยมีปัจจัยหลักในการคำนวณดังนี้

  1. น้ำหนักของพัสดุ: น้ำหนักของพัสดุถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่ง โดยทั่วไปจะคิดค่าบริการตามน้ำหนักจริงของพัสดุ ที่รวมกับน้ำหนักกล่องหลังการบรรจุลงกล่องเรียบร้อยแล้ว
  2. สำหรับพัสดุที่มีขนาดใหญ่แต่มีน้ำหนักเบา บริษัทขนส่งบางแห่งอาจคิดค่าบริการตามปริมาตรของพัสดุแทน (ความยาว x ความกว้าง x ความสูงของพัสดุ)
  3. ระยะทาง: ระยะทางในการขนส่งสินค้าที่คำนวณจากประเทศต้นทางไปยังประเทศปลายทางมีผลต่อค่าขนส่ง เนื่องจากยิ่งระยะทางไกลก็ยิ่งใช้เวลาในการขนส่งหลายวัน
  4. ประเภทของสินค้า: สินค้าบางประเภทอาจมีค่าขนส่งเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าบางประเภทที่เป็นสินค้าอันตราย หรือสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติและต้องมีค่าประกันสินค้า เพื่อป้องกันการสูญหายระหว่างทาง
  5. บริการเสริม: นอกจากระยะเวลา และน้ำหนักของสินค้าแล้ว ค่าขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอาจมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากบริการอื่นๆ เช่น การประกันภัย การติดตามพัสดุ หรือการส่งด่วนที่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

วิธีการคำนวณค่าบริการจัดส่งพัสดุจากน้ำหนักของสินค้า

การคำนวณค่าบริการจัดส่งพัสดุของแต่ละที่อาจมีการคำนวณค่าส่งที่แตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วจะคิดดังนี้

  • คิดตามน้ำหนักจริงของสินค้า + ค่าขนส่ง คือ น้ำหนักจริงของสินค้า X อัตราค่าส่งแบบกิโลกรัม = ค่าขนส่ง
  • ใช้เครื่องมือ หรือโปรแกรมคำนวณค่าขนส่งแบบออนไลน์บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทที่เลือกใช้บริการ ที่
  • ติดต่อบริษัทขนส่ง เพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับค่าขนส่งจากบริษัทขนส่งโดยตรง พนักงานจะช่วยคุณคำนวณค่าใช้จ่ายและให้คำแนะนำเพิ่มเติม

ทั้งนี้หากคุณเลือกใช้บริการของ SME SHIPPING ที่เป็นผู้ให้บริการรับส่งของไปต่างประเทศทางอากาศ ที่มีบริการส่งสินค้าทั่วโลกครบวงจร ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอีกต่อไป เพราะภายในเว็บไซต์มีหน้า check-price ให้คุณได้ตรวจสอบราคาสินค้าก่อนการส่งตามจริง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกินงบ แถมยังรับประกันสินค้าส่งตรงถึงหน้าบ้านอีกด้วย 

5 วิธีป้องกันสินค้าจากความชื้นและความเสียหายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นอีกหนึ่งความท้าทายระหว่างผู้ส่งและผู้รับสินค้าที่ส่งไปนั้นจะถึงมือผู้รับในสภาพไหน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างระหว่างการขนส่งสินค้าและหนึ่งในนั้นคือปัญหาความชื้นที่อาจส่งผลต่อคุณภาพและความสมบูรณ์ของสินค้า ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งได้หากผู้ส่งจัดเลือกกล่องสำหรับส่งสินค้าที่ไม่เหมาะสม และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เราขอนำเสนอ 5 วิธีป้องกันสินค้าจากความชื้นและความเสียหายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ สำหรับคนที่กำลังจะสิ่งสินค้าระหว่างประเทศ ดังนี้

1. เลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้าเป็นปราการแรกที่จะทำให้สินค้าปลอดภัยในระหว่างการขนส่ง เพราะการเลือกขนาดบรรจุภัณฑ์ให้พอดีกับสินค้าจะช่วยลดการเคลื่อนไหวภายในและป้องกันการกระแทกไม่ให้สินค้าเกิดความบุบเสียหาย อีกทั้งการใช้พลาสติกกันกระแทก, ฟิล์มห่อหุ้ม, กล่องกระดาษแข็งเคลือบ หรือถุงสุญญากาศลงไปในกล่องพัสดุด้วย ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความชื้นจนสินค้าเสียหาย และลดการกระแทกได้ดีขึ้น

2. ติดฉลากสินค้าอย่างชัดเจนการขนส่งสินค้า

การติดฉลากสินค้าให้ชัดเจนตั้งแต่หน้ากล่องจะช่วยให้สินค้าที่ถูกจัดส่งมีความรวดเร็วและแม่นยำ เพราะหากฉลากสินค้าไม่ชัดเจน หรือข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น สินค้าสูญหาย เสียหาย หรือล่าช้าในการส่งมอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งและผู้รับ อีกทั้งการระบุตัวตนของสินค้ายังช่วยให้สามารถติดตามสินค้าได้ตลอดกระบวนการขนส่ง และช่วยลดความผิดพลาดในการจัดเรียงสินค้าและการส่งมอบอีกด้วย

3. ใช้สารดูดความชื้นซิลิก้าเจล (Silica gel)

หากสินค้าชนิดนั้นๆ เป็นสินค้าที่มีความชื้นสูง หรือเป็นสินค้าที่ต้องระมัดระวังในการส่งเป็นพิเศษ ควรใส่วัสดุกันน้ำและสารกันชื้นอย่างซิลิก้าเจล (Silica gel) ลงไปภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ด้วย เพื่อดูดซับความชื้นส่วนเกิน และควรใช้ถุงดูดความชื้นที่มีขนาดและปริมาณเหมาะสมกับขนาดของบรรจุภัณฑ์จะช่วยให้ประสิทธิภาพการใช้งานดียิ่งขึ้น

4. เลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่มีระยะเวลาการขนส่งสั้น และเป็นผู้ให้บริการที่สามารถติดตามพัสดุได้ตลอดเส้นทางการขนส่ง เป็นหนึ่งในวิธีลดความเสียหายในการขนส่งได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การให้บริการขนส่งพัสดุของ SME SHIPPING ที่ส่งเร็ว ส่งไว ให้บริการขนส่งพัสดุทั่วโลก ส่งตรงถึงหน้าบ้าน

5. ทำประกันสินค้า

การทำประกันสินค้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองกรณีเกิดความเสียหายจากความชื้นหรือสาเหตุอื่นๆ ระหว่างการขนส่ง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น อุบัติเหตุทางการขนส่ง การโจรกรรม ภัยธรรมชาติ หรือความเสียหายจากการบรรจุหีบห่อที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งการทำประกันจะช่วยให้ผู้ส่งรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ทางบริษัทขนส่งจะมีการชดเชยความเสียหายให้กับสินค้านั้นๆ ด้วย และการประกันสินค้าในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ได้แก่

  •         ความคุ้มครองแบบ All Risks เป็นความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเสียหายทุกประเภท ยกเว้นความเสียหายที่เกิดจากสาเหตุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  •         ความคุ้มครองแบบ Named Perils เป็นความคุ้มครองที่ระบุความเสียหายที่ต้องการความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะ เช่น การสูญหาย การโจรกรรม ความเสียหายจากไฟไหม้ เป็นต้น

 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

 

หากต้องการนำเข้าสินค้าจำนวนมากจากต่างประเทศ ควรต้องเตรียมพร้อมอย่างไร?

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งในการนำมาจำหน่าย หรือ สั่งวัตถุดิบมาเพื่อต่อยอดสินค้าของตนเอง ในกรณีดังกล่าวผู้ประกอบการมักจะต้องการนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ก็อาจเกิดความกังวลขึ้นได้ เพราะกันนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในจำนวนมากนั้นอาจมองดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ถ้าหากเราเตรียมพร้อมก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไรให้การนำเข้าปลอดภัย มั่นใจ หายห่วง!!

 

ศึกษาข้อกำหนด และระเบียบของประเทศปลายทางที่นำเข้าสินค้า

แต่ละประเทศปลายทางมีกฏระเบียบ และข้อกำหนดในการนำเข้าสินค้า แตกต่างกัน เช่น สินค้าบางชนิดอาจต้องมีใบอนุญาติพิเศษ หรือ การตรวจสอบจากศุลกากร นอกจากนั้นควรเตรียมพร้อมศึกษากฏดังกล่าว พร้อมพิจารณาว่าสินค้าที่ตนนำเข้านั้นอยู่ในรายการสินค้าต้องห้ามหรือไม่

 

ตรวจสอบข้อกำหนดด้านภาษี และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น

การนำเข้าสินค้าจำนวนมากผู้นำเข้าจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดในเรื่อง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าขนส่ง ค่าประกัน และค่าดำเนินการผ่านศุลการกร สิ่งเหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาเพื่อให้สามารถเตรียมค่าใช้จ่าย และเพื่อให้ทราบถึงต้นทุนในการนำเข้า

 

จัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

เมื่อทำการนำเข้าสินค้าผู้ประกอบการ ควรคำนึงถึงเอกสารสำคัญในการนำเข้าสินค้า เช่น ใบกำกับสินค้า ใบรายการบรรจุภัณฑ์ และ ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และนอกจากนั้น ต้องตรวจสอบว่ามีเอกสารอื่น ๆ ที่ศุลกากรของประเทศปลายทางต้องการหรือไม่ 

 

ทำประกันภัยสินค้า

ในการจัดนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมากนั้น เป็นการดำเนินการที่มีมูลค่า และค่าใช้จ่ายสูง เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของสินค้า และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ควรทำประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง เพราะหากสินค้าตกหล่น หรือเกิดความเสียหายระหว่างทาง ประกันจะช่วยคุมครองจากการสูญเสีย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

เลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าการนำเข้าสินค้าของคุณจะปลอดภัยหายห่วง เพราะอยู่ในมือของบริษัทขนส่งที่ไว้ใจได้ นอกจากนั้นบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์จะสามารถให้คำปรึกษา และคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการได้ 

 

การนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องอาศัยการวางแผน และการเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบ รวมถึงผู้ประกอบการนั้นต้องศึกษา และทำความเข้าใจกฏระเบียบเพื่อให้สามารถเตรียมเอกสารประกอบการส่งได้ครบถ้วน อีกทั้งการเตรียมการอย่างรอบคอบนั้นจะทำให้เราทราบถึงต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ ได้  และข้อที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ เลยคือการเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย