ข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ FOB

ช่วงที่ 1 : ทำความรู้จักกับ FOB (Free on Board)

 

การนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นกิจกรรมสำคัญที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าด้วยกัน ในกระบวนการนี้ หนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดในการขนส่งสินค้าคือ FOB หรือ Free on Board ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการกำหนดเงื่อนไขของการขนส่งสินค้าในตลาดระหว่างประเทศ ในบทความนี้ เราจะพิจารณาถึงความหมายพื้นฐานและความสำคัญของ FOB ในการค้าระหว่างประเทศ

 

การนิยามโดยพื้นฐานของ FOB

 

FOB (Free on Board) เป็นเงื่อนไขในเอกสารขนส่งซึ่งระบุว่าผู้ขายต้องรับผิดชอบการส่งสินค้าไปยังสถานที่จัดส่ง และพอสินค้าขึ้นบนเรือแล้ว ความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ในทางกลับกันก็หมายความว่า หากสินค้าถูกโหลดขึ้นเรือที่ท่าเรือของประเทศผู้ส่งออกเมื่อไหร่ ผู้ซื้อก็จะเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับสินค้าตั้งแต่จุดนั้นเป็นต้นไป

 

ความสำคัญของ FOB ในการค้าระหว่างประเทศ

 

การทำความเข้าใจเงื่อนไข FOB นั้นสำคัญมากในการค้าระหว่างประเทศเพราะมันช่วยกำหนดความรับผิดชอบของค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในกระบวนการขนส่งสินค้าจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ ซึ่งได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าประกัน และค่าท่าเรือ การกำหนดเรื่องเหล่านี้ไว้ชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเข้าใจผิดและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

 

FOB ยังช่วยให้ผู้ซื้อสามารถควบคุมต้นทุนกระบวนการขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ผู้ซื้อมีข้อตกลงกับบริษัทขนส่งที่พวกเขาไว้วางใจได้มากกว่า นอกจากนี้ การใช้เงื่อนไข FOB ยังเป็นการรับรองถึงความโปร่งใสในกระบวนการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะในแง่ของการทำประกันภัยและจัดการกับโลจิสติกส์

 

ในสรุป FOB เป็นองค์ประกอบสำคัญในการค้าระหว่างประเทศที่ทุกฝ่ายควรเข้าใจและนำไปปฏิบัติ เพื่อการจัดการความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ กับการใช้พื้นฐานนี้ ผู้ประกอบการสามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการค้าและขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิผล

 

ช่วงที่ 2 : ความแตกต่างระหว่าง Shipping Point และ Destination

 

FOB หรือ Free On Board เป็นข้อกำหนดในการส่งสินค้าที่กำหนดว่าความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงต่อสินค้าจะถูกโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อที่จุดใดของกระบวนการขนส่ง คำนี้มักใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพื่อชี้แจงเงื่อนไขการขนส่งและการโอนกรรมสิทธิ์ของสินค้านั้นๆ

 

FOB Shipping Point กับ FOB Destination

 

FOB Shipping Point หมายความว่าความรับผิดชอบและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าจะถูกโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อตั้งแต่สินค้าถูกส่งออกจากโกดังหรือจุดที่เป็น origin นั่นหมายถึงผู้ซื้อต้องรับภาระความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่สินค้าออกจากผู้ขาย

 

FOB Destination ตรงกันข้ามกับ FOB Shipping Point, หมายถึงสินค้าจะอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ขายจนถึงเมื่อสินค้าถึงผู้ซื้อที่จุดหมายปลายทาง ในเงื่อนไขนี้ ผู้ขายต้องรับภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งจนกระทั่งสินค้าส่งถึงมือผู้ซื้อ

 

ผลกระทบทางกฎหมายและความรับผิดชอบ

 

ทั้ง FOB Shipping Point และ FOB Destination มีผลกระทบทางกฎหมายและต่อความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาหรือความเสียหายระหว่างการขนส่ง[6]. ในเงื่อนไข FOB Shipping Point, หากสินค้าได้รับความเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง, ผู้ซื้อจะเป็นฝ่ายต้องรับความเสี่ยงนั้น. ส่วนใน FOB Destination, ผู้ขายจะต้องรับความเสี่ยงจนกว่าสินค้าจะส่งถึงมือผู้ซื้ออย่างปลอดภัย

 

การเลือกใช้ FOB Shipping Point หรือ FOB Destination จึงมีความสำคัญในการกำหนดความรับผิดชอบในแต่ละฝ่ายตามกฎหมาย และควรมีการระบุอย่างชัดเจนในสัญญาการค้าเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่เข้าใจและปัญหาในภายหลัง

 

ช่วงที่ 3 : ความสำคัญของ FOB (Free on Board)

 

เพื่อธุรกรรมการส่งออกและนำเข้าที่ราบรื่นในประเทศไทย, การใช้และเข้าใจคำศัพท์ FOB (Free On Board) เป็นสิ่งสำคัญ. เนื่องจากคำนี้ช่วยในการระบุว่าภาระด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าถูกโอนจากผู้ขายไปที่ผู้ซื้อจุดใดบนเส้นทางการขนส่งสินค้า.

 

FOB กับการนำเข้าและส่งออกสินค้าในประเทศไทย

 

การส่งออก : สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย, สามารถใช้เงื่อนไข FOB ได้, นั่นคือ ผู้ขายโอนความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อ. สำหรับข้อตกลง FOB, ผู้ขายที่เป็นฝ่ายส่งออกจะรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงจนถึงเมื่อสินค้าถึงที่ปลายทาง.

 

การนำเข้า : เมื่อภาชนะเรือของบริษัทส่งออกถึงท่าเรือในประเทศไทย, สินค้าจะถือว่าโอนจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ และผู้ซื้อจะมีความรับผิดชอบในการจัดการและการจ่ายค่าใช้จ่ายต่อไป.

 

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

 

ทำความเข้าใจในภาระความรับผิดชอบ : ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจตรงที่รับผิดชอบความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายของตนเองในข้อตกลง FOB ไม่ว่าจะเป็นจากมุมมองของผู้ส่งหรือผู้รับสินค้า.

 

มีการสื่อสารที่ชัดเจน : เข้าใจโดยละเอียดว่า FOB Shipping Point และ FOB Destination หมายถึงอะไร, และการสื่อสารที่ชัดเจนกับคู่สัญญาระหว่างฝ่ายซื้อขายเพื่อป้องกันข้อเข้าใจผิด.

 

ระบุใบส่งสินค้าด้วยความชัดเจน : ในหลายกรณีชั้นสูง, ใบส่งสินค้าควรระบุเป็นชัดว่าการขนส่งสินค้าอยู่ในสภาพ FOB shipping point หรือ FOB destination.

 

มีกรมธรรม์ประกันภัยที่พอเหมาะ : กรมธรรม์ประกันภัยด้านการขนส่งสินค้าสามารถช่วยปกป้องภาระความเสี่ยงที่ผู้ส่งหรือผู้รับสินค้า ผู้ประกอบการควรพิจารณาไว้ว่าควรมีกรมธรรม์ประกันภัยแบบใดกับสินค้าของเขา.

 

โดยรวมแล้ว, เพื่อให้การทำธุรกิจส่งออกและนำเข้าสำเร็จอย่างราบรื่น, ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการค้าและเงื่อนไขการขนส่งสินค้า, ประเด็นที่สำคัญในการวางแผนและการดำเนินงานที่ความรู้เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศ.

 

ช่วงที่ 4 : FOB กับมาตรฐานในการจัดส่งสินค้า

 

การซื้อขายระหว่างประเทศมีการใช้เงื่อนไขมาตรฐานในการจัดส่งสินค้า เพื่อความชัดเจนในหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ขายและผู้ซื้อ โดย Incoterms (International Commercial Terms) คือกฎหมายมาตรฐานที่ใช้กำหนดเงื่อนไขเหล่านี้ ในบทความนี้ จะเน้นไปที่การเปรียบเทียบ FOB (Free On Board) กับเงื่อนไขการจัดส่งอื่น ๆ ตามมาตรฐาน Incoterms เช่น CIF (Cost, Insurance and Freight), EXW (Ex Works), และอื่น ๆ

 

FOB (Free On Board)

 

FOB นิยมใช้ในการขนส่งทางเรือ ผู้ขายต้องจัดการขนสินค้ามายังเรือและดูแลค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งสินค้าขึ้นเรือแล้ว หลังจากนั้น ความรับผิดชอบจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องดูแลค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

 

CIF (Cost, Insurance and Freight)

 

CIF เหมาะกับการขนส่งทางเรือเช่นกัน แต่ผู้ขายจะรับหน้าที่ในการจ่ายค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง ความเสี่ยงของสินค้าจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าข้ามขอบฝั่งเรือ

 

EXW (Ex Works)

 

EXW ให้ความรับผิดชอบน้อยที่สุดกับผู้ขาย โดยผู้ซื้อจะต้องดูแลทุกอย่างตั้งแต่การรับสินค้าจากโรงงานของผู้ขาย รวมถึงการขนส่ง, ประกันภัย และอื่น ๆ นี่คือเงื่อนไขที่วางภาระบนผู้ซื้อมากที่สุด

 

เปรียบเทียบสรุป

 

FOB: ผู้ขายรับผิดชอบจนสินค้าอยู่บนเรือ จากนั้นผู้ซื้อรับความเสี่ยงและค่าใช้จ่าย

 

CIF: ผู้ขายรับผิดชอบค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง ความเสี่ยงโอนไปยังผู้ซื้อเมื่อสินค้าข้ามขอบฝั่งเรือ

 

EXW: ผู้ซื้อรับความรับผิดชอบทั้งหมดตั้งแต่รับสินค้าจากโรงงานของผู้ขาย

 

การเลือกใช้เงื่อนไขใดขึ้นอยู่กับการพิจารณาทั้งความเสี่ยง, ค่าใช้จ่าย และความสะดวกในการจัดการ ทั้งนี้ควรมีการเจรจาและวางแผนล่วงหน้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อหาข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายในแต่ละครั้งการค้า.

 

ช่วงที่ 5 : เงื่อนไขของ FOB ในด้านการจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยง

 

การจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าภายใต้เงื่อนไข FOB (Free On Board) นั้นต้องการการวางแผนและการตัดสินใจที่รอบคอบเกี่ยวกับประกันภัยและการขนส่ง เนื่องจากเงื่อนไข FOB กำหนดให้ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าที่ชายฝั่งขนส่ง หลังจากนั้นความรับผิดชอบและความเสี่ยงต่างๆ จะถ่ายโอนไปยังผู้ซื้อ การวางแผนล่วงหน้าและการมีการประกันภัยที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

การตัดสินใจเกี่ยวกับการประกันภัย

 

การประกันภัยในการขนส่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้ซื้อและผู้ขายอาจต้องเผชิญ รวมถึงความเสียหายหรือการสูญหายของสินค้า การตัดสินใจเกี่ยวกับการประกันภัยควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้:

 

การประเมินความเสี่ยง: พิจารณาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าระหว่างการขนส่ง เช่น เส้นทางการขนส่ง, ชนิดของสินค้า, และค่าของสินค้า

 

เลือกประกันภัยที่เหมาะสม: มีแผนประกันภัยหลายประเภทที่ให้ความครอบคลุมต่างกัน ตัวอย่างเช่น ประกันภัย All Risks ซึ่งครอบคลุมความเสี่ยงส่วนใหญ่ และประกันภัย Named Perils ที่ครอบคลุมเฉพาะความเสี่ยงที่ระบุเท่านั้น

 

การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายกับคุณค่าของการประกัน: จำเป็นต้องเทียบค่าใช้จ่ายของการซื้อประกันภัยกับคุณค่าของสินค้าและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

 

การตัดสินใจเกี่ยวกับการขนส่ง

 

การเลือกวิธีการและบริษัทขนส่งสินค้าเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจสำคัญที่ต้องทำภายใต้เงื่อนไข FOB

 

เลือกบริษัทขนส่งที่เชื่อถือได้: ควรเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์และมีชื่อเสียงดีในอุตสาหกรรม รวมถึงตรวจสอบรีวิวและขอรายการอ้างอิง

 

เจรจาเงื่อนไขการขนส่ง: รวมถึงการกำหนดราคา, เวลาในการขนส่ง, และการตกลงเกี่ยวกับการจัดการเหตุฉุกเฉินหรือความล่าช้า

 

ตรวจสอบความครอบคลุมของการขนส่ง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบริการขนส่งครอบคลุมทั้งกระบวนการจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดปลายทาง และมีการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง

 

การจัดการค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการขนส่งภายใต้เงื่อนไข FOB ต้องการการวางแผนและการมีสติในการตัดสินใจที่ครอบคลุมทั้งในด้านการประกันภัยและการเลือกบริษัทขนส่ง เพื่อให้กระบวนการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น.

 

มือใหม่ควรรู้! ส่งออกสินค้าครั้งแรก เริ่มต้นอย่างไรดี?

 การเริ่มต้นธุรกิจส่งออกเป็นก้าวสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งหากมีการวางแผนที่ดี มีการวิเคราะห์การตลาด เป้าหมาย และเลือกขนส่งที่มั่นใจได้จะช่วยผลักดันธุรกิจของคุณให้เติบโตและเข้าถึงตลาดโลกได้กว้างขึ้นด้วย แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนและเตรียมการอย่างรอบคอบ  ซึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่ากลัว วันนี้ SME SHIPPING เราจะมาไขข้อข้องใจและให้คำแนะนำเบื้องต้น เพื่อให้นักธุรกิจมือใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจส่งออกได้อย่างมั่นใจ

 

ธุรกิจส่งออกคืออะไร?

ธุรกิจส่งออก คือ การประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้า จากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง เพื่อการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการขยายตลาด เพิ่มฐานลูกค้าไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสินค้าที่คนนิยมส่งออกมักจะเป็นสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ มีความต้องการของผู้ซื้อจากต่างประเทศ และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าจนสามารถสร้างกำไรให้ผู้ประกอบการได้

 

 ขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก

การส่งออกสินค้าเป็นก้าวสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาด และสร้างรายได้ให้กับธุรกิจที่ทำอยู่ให้มีฐานลูกค้า และกำไรที่เพิ่มขึ้น และขั้นตอนต่อไปนี้เป็นแนวทางเบื้องต้น ที่จะช่วยให้ธุรกิจส่งออกสำหรับมือใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น ดังนี้

  1. วิเคราะห์กลุ่มลูกค้าและสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด

ก่อนทำธุรกิจส่งออก การสำรวจตลาดสินค้า ที่ต้องการส่งออกให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย และศึกษาข้อมูลตลาดเป้าหมายอย่างละเอียด เช่น พฤติกรรมผู้บริโภค กฎระเบียบ ข้อบังคับทางการค้า และคู่แข่ง จะช่วยให้มือใหม่ทั้งหลายที่ต้องการส่งสินค้าส่งออกสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงจุด

  1. เตรียมเอกสารการผลิตให้ครบถ้วน

ในการทำสินค้าส่งออกไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใด จะต้องตรวจสอบว่าสินค้าของคุณต้องมีใบอนุญาตใดบ้าง เช่น ใบอนุญาตส่งออกสินค้าควบคุม มีใบกำกับสินค้าที่ระบุรายละเอียดสินค้า ราคา จำนวน และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบตราส่งสินค้าที่เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของสินค้า และสำหรับสินค้าบางชนิดอาจต้องมีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า(ผลิตที่ไหน) ใบรับรองสุขอนามัย(อย./มอก.) และใบรับรองคุณภาพอื่นๆ ตามระเบียบข้อบังคับของประเทศปลายทาง

 

  1. ศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องภาษีและอากร

การทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม ผู้ประกอบการจะต้องทำการศึกษาเรื่องภาษีให้รอบคอบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ภาษีส่งออกที่เป็นภาษีที่ต้องชำระเมื่อส่งสินค้าออกจากประเทศ และภาษีนำเข้าที่เป็นภาษีที่ประเทศปลายทางเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้า รวมทั้งอากรขาเข้าที่เรียกเก็บจากสินค้าบางประเภท เพื่อให้สามารถนำเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง

  1. เลือกบริษัทขนส่งที่มั่นใจ

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีความน่าเชื่อถือ และมีรีวิวจากลูกค้าสามารถช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจการส่งออกได้อย่างราบรื่น ซึ่งสามารถพิจารณาและเลือกได้จาก

  • การเปรียบเทียบราคา เลือกบริษัทที่มีค่าขนส่งที่เหมาะสมกับงบประมาณที่ตั้งไว้
  • มีบริการส่งพัสดุไปยังหลากหลายประเทศ เช่น บริการขนส่งของ SME SHIPPING ที่ให้บริการขนส่งของจากไทยไปอเมริกา จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน
  • มีบริการเสริมอื่นๆ เช่น ประกันภัย การติดตามสินค้าที่ผู้ส่งสามารถติดตามสินค้าได้เองตลอดเวลา

 

การขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจส่งออก มีกี่ช่องทาง?

การเลือกช่องทางการส่งสินค้าที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจส่งออก เพราะจะส่งผลต่อต้นทุน เวลาในการขนส่ง และความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งช่องทางการส่งสินค้าหลักๆ ของSME SHIPPING มีดังนี้

  1. การขนส่งทางบก เหมาะสำหรับสินค้าที่ขนส่งระหว่างประเทศที่ติดกัน มีความยืดหยุ่นในการขนส่ง ซึ่งเป็นช่องทางการขนส่งที่สามารถขนส่งสินค้าได้หลากหลายประเภท
  2. การขนส่งทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีปริมาณมาก น้ำหนักมาก หรือต้องการส่งเป็นจำนวนมากต่อครั้ง เช่น สินค้าเกษตร วัตถุดิบ ของใช้ หรือสินค้าเบ็ดเตล็ดทั่วไป
  3.  การขนส่งทางอากาศ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง น้ำหนักเบา เป็นสินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนอะไหล่ สิ่งของที่มีมูลค่า เป็นต้น

สิ่งที่ควรคำนึงเมื่อต้องส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศ

การส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศนั้นต้องมีความรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณาเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้รับในสภาพที่ยังคงสามารถใช้งานได้และไม่ผิดกฎหมายของประเทศปลายทาง โดยการขนส่งที่เราแนะนำที่สุดนาการขนส่งสินค้าที่มีวันหยุดอายุเพื่อให้ไปถึงมือผู้รับได้อย่างรวดเร็วที่สุดคือ การขนส่งสินค้าทางอากาศ ซึ่งเป็นการขนส่งที่รวดเร็วที่สุดจนไม่ต้องกังวลเรื่องวันหมดอายุของสินค้า แต่สำหรับบางคนที่ไม่สะดวกต่อการขนส่งทางอากาศจะต้องทำอย่างไร เพื่อไม่ให้สินค้าที่ส่งไปไม่เสียหาย หรือหมดอายุในระหว่างการขนส่งมาเช็คลิสต์ต่อไปนี้พร้อมๆ กันเลย

1.กฎระเบียบของประเทศปลายทาง

ก่อนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอย่าลืมเช็คก่อนว่าประเทศนั้นๆ มีกฎข้อห้าม หรือมีสินค้าต้องห้ามใดบ้างที่ไม่อนุญาตให้นำเข้าในประเทศ เนื่องจากการส่งสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตไปอาจทำให้คุณเสียค่าส่งไปฟรี ๆ โดยในแต่ละประเทศนั้นมีสินค้าต้องห้ามแตกต่างกันไป อาทิ

  • อาหารและเครื่องดื่ม: แต่ละประเทศมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการนำเข้าอาหารและเครื่องดื่ม อาจมีข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทของสินค้า ปริมาณ และเอกสารที่ต้องใช้
  • ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ: สินค้าประเภทนี้มักมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับการนำเข้า ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • สินค้าเกษตร: พืชผลทางการเกษตรอาจมีข้อจำกัดในการนำเข้าเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคพืชและศัตรูพืช
  • เอกสารที่ต้องใช้: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเอกสารที่จำเป็นครบถ้วน เช่น ใบรับรองแหล่งที่มา ใบอนุญาตนำเข้า และใบกำกับสินค้า

2.ระยะเวลาในการขนส่ง

ระยะเวลาในการขนส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสดใหม่ของสินค้า และความพึงพอใจของผู้รับสินค้า ซึ่งระยะทางระหว่างประเทศต้นทางและปลายทางมีผลโดยตรงต่อระยะเวลาในการขนส่ง ยิ่งระยะทางไกล ยิ่งใช้เวลานาน ดังนั้นการเลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมจะช่วยให้สินค้าถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วและยังคงคุณภาพอยู่

3.บรรจุภัณฑ์

การเลือกใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่แข็งแรง ทนทานจะช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวภายในกล่องและความเสียหาย นอกจากนั้นการเลือกกล่องพัสดุที่หนา แข็งแรง ได้มาตรฐานก็จะทำให้วัสดุที่จัดส่งไปต่างประเทศอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเมื่อถึงมือผู้รับ

4. ฉลากสินค้า

การติดฉลากสินค้าให้ชัดเจนระบุชื่อสินค้า วันหมดอายุ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้พนักงานจัดส่ง สามารถจำแนกประเภทของสินค้าเพื่อการจัดส่งที่รวดเร็วขึ้นอีก ดังนั้นก่อนจัดส่งพัสดุหรือสินค้าทุกครั้งผู้ส่งต้องทำการตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าก่อนทำการส่งมอบแก่พนักงานรับพัสดุทุกครั้ง

5.อุณหภูมิในการขนส่ง

สำหรับสินค้าบางประเภท เช่น สินค้าแช่แข็ง หรือสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิ จะต้องมีการควบคุมอุณหภูมิตลอดการขนส่ง ดังนั้นการควบคุมอุณหภูมิในการขนส่งให้เหมาะสมกับชนิดของสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่ไวต่ออุณหภูมิ เช่น อาหารแช่แข็งที่ต้องถูกบรรจุอยู่ในพัสดุเก็บความเย็นอย่างดีตั้งแต่ขั้นตอนการบรรจุลงกล่อง รวมทั้งรถ หรือตู้โดยสารของพัสดุที่ต้องมีอุณภูมิที่เหมาะสมต่อสินค้านั้นๆ เพื่อให้สินค้ามีสภาพเดียวกับต้นทางไปยังปลายทาง

6. วางแผนการส่งสินค้าล่วงหน้า

 หากสินค้าที่ต้องจัดส่งมีวันหมด จะต้องทำการอายุวางแผนเส้นทางและขั้นตอนการขนส่งล่วงหน้า เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดความล่าช้า และสินค้าหมดอายุก่อนถึงมือผู้รับ เนื่องจากในบางครั้งอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดในระหว่างการขนส่งได้ การวางแผนส่งสินค้าล่วงหน้าจึงเป็นวิธีรับมือที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการส่งสินค้าที่มีวันหมดอายุไปต่างประเทศ

 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

ก่อนส่งต้องรู้! วิธีคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งพัสดุที่ถูกต้อง ก่อนส่งของไปต่างประเทศ

การส่งสินค้าไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็จำเป็นที่จะต้องมีการเสียค่าขนส่งพัสดุมากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่น้ำหนัก และชนิดของสินค้าที่ส่ง ดังนั้น การคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งพัสดุก่อนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไป เพื่อให้การส่งพัสดุของคุณไปยังผู้รัยบปลายทางอย่างราบรื่นและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด

 

ทำไมต้องคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งก่อนส่งสินค้า?

การคำนวณน้ำหนักและค่าขนส่งจะช่วยให้ผู้ส่งสามารถประมาณการค่าใช้จ่าย และวางแผนงบประมาณการส่งสินค้าได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งการคำนวณค่าพัสดุที่ถูกต้องยังช่วยป้องกันปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ค่าใช้จ่ายเกินจริง หรือการส่งมอบล่าช้า รวมทั้งสินค้าบางรายการที่ต้องทำประกันสินค้าตั้งแต่ขั้นตอนการขนส่ง ดังนั้น หากรู้จักการคำนวณค่าขนส่งพัสดุที่ถูกต้องและแม่นยำแล้ว ก็จะทำให้สามารถส่งสินค้าไปยังต่างประเทศได้ตามงบที่กำหนดไว้

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าขนส่ง

ในการขนส่งสินค้าไม่ว่าจะเป็นการส่งภายในประเทศ หรือส่งไปยังต่างประเทศ ทางผู้ให้บริการส่งสินค้าจะมีการเรียกเก็บค่าขนส่งของสินค้านั้นๆ ตามความเป็นจริง โดยมีปัจจัยหลักในการคำนวณดังนี้

  1. น้ำหนักของพัสดุ: น้ำหนักของพัสดุถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่ง โดยทั่วไปจะคิดค่าบริการตามน้ำหนักจริงของพัสดุ ที่รวมกับน้ำหนักกล่องหลังการบรรจุลงกล่องเรียบร้อยแล้ว
  2. สำหรับพัสดุที่มีขนาดใหญ่แต่มีน้ำหนักเบา บริษัทขนส่งบางแห่งอาจคิดค่าบริการตามปริมาตรของพัสดุแทน (ความยาว x ความกว้าง x ความสูงของพัสดุ)
  3. ระยะทาง: ระยะทางในการขนส่งสินค้าที่คำนวณจากประเทศต้นทางไปยังประเทศปลายทางมีผลต่อค่าขนส่ง เนื่องจากยิ่งระยะทางไกลก็ยิ่งใช้เวลาในการขนส่งหลายวัน
  4. ประเภทของสินค้า: สินค้าบางประเภทอาจมีค่าขนส่งเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าบางประเภทที่เป็นสินค้าอันตราย หรือสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่ต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าปกติและต้องมีค่าประกันสินค้า เพื่อป้องกันการสูญหายระหว่างทาง
  5. บริการเสริม: นอกจากระยะเวลา และน้ำหนักของสินค้าแล้ว ค่าขนส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอาจมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากบริการอื่นๆ เช่น การประกันภัย การติดตามพัสดุ หรือการส่งด่วนที่อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

วิธีการคำนวณค่าบริการจัดส่งพัสดุจากน้ำหนักของสินค้า

การคำนวณค่าบริการจัดส่งพัสดุของแต่ละที่อาจมีการคำนวณค่าส่งที่แตกต่างกันไป แต่โดยปกติแล้วจะคิดดังนี้

  • คิดตามน้ำหนักจริงของสินค้า + ค่าขนส่ง คือ น้ำหนักจริงของสินค้า X อัตราค่าส่งแบบกิโลกรัม = ค่าขนส่ง
  • ใช้เครื่องมือ หรือโปรแกรมคำนวณค่าขนส่งแบบออนไลน์บนหน้าเว็บไซต์ของบริษัทที่เลือกใช้บริการ ที่
  • ติดต่อบริษัทขนส่ง เพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับค่าขนส่งจากบริษัทขนส่งโดยตรง พนักงานจะช่วยคุณคำนวณค่าใช้จ่ายและให้คำแนะนำเพิ่มเติม

ทั้งนี้หากคุณเลือกใช้บริการของ SME SHIPPING ที่เป็นผู้ให้บริการรับส่งของไปต่างประเทศทางอากาศ ที่มีบริการส่งสินค้าทั่วโลกครบวงจร ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศอีกต่อไป เพราะภายในเว็บไซต์มีหน้า check-price ให้คุณได้ตรวจสอบราคาสินค้าก่อนการส่งตามจริง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกินงบ แถมยังรับประกันสินค้าส่งตรงถึงหน้าบ้านอีกด้วย 

5 วิธีป้องกันสินค้าจากความชื้นและความเสียหายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นอีกหนึ่งความท้าทายระหว่างผู้ส่งและผู้รับสินค้าที่ส่งไปนั้นจะถึงมือผู้รับในสภาพไหน เพราะมีปัจจัยหลายอย่างระหว่างการขนส่งสินค้าและหนึ่งในนั้นคือปัญหาความชื้นที่อาจส่งผลต่อคุณภาพและความสมบูรณ์ของสินค้า ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการขนส่งได้หากผู้ส่งจัดเลือกกล่องสำหรับส่งสินค้าที่ไม่เหมาะสม และเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เราขอนำเสนอ 5 วิธีป้องกันสินค้าจากความชื้นและความเสียหายในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ สำหรับคนที่กำลังจะสิ่งสินค้าระหว่างประเทศ ดังนี้

1. เลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม

การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้าเป็นปราการแรกที่จะทำให้สินค้าปลอดภัยในระหว่างการขนส่ง เพราะการเลือกขนาดบรรจุภัณฑ์ให้พอดีกับสินค้าจะช่วยลดการเคลื่อนไหวภายในและป้องกันการกระแทกไม่ให้สินค้าเกิดความบุบเสียหาย อีกทั้งการใช้พลาสติกกันกระแทก, ฟิล์มห่อหุ้ม, กล่องกระดาษแข็งเคลือบ หรือถุงสุญญากาศลงไปในกล่องพัสดุด้วย ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความชื้นจนสินค้าเสียหาย และลดการกระแทกได้ดีขึ้น

2. ติดฉลากสินค้าอย่างชัดเจนการขนส่งสินค้า

การติดฉลากสินค้าให้ชัดเจนตั้งแต่หน้ากล่องจะช่วยให้สินค้าที่ถูกจัดส่งมีความรวดเร็วและแม่นยำ เพราะหากฉลากสินค้าไม่ชัดเจน หรือข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น สินค้าสูญหาย เสียหาย หรือล่าช้าในการส่งมอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งและผู้รับ อีกทั้งการระบุตัวตนของสินค้ายังช่วยให้สามารถติดตามสินค้าได้ตลอดกระบวนการขนส่ง และช่วยลดความผิดพลาดในการจัดเรียงสินค้าและการส่งมอบอีกด้วย

3. ใช้สารดูดความชื้นซิลิก้าเจล (Silica gel)

หากสินค้าชนิดนั้นๆ เป็นสินค้าที่มีความชื้นสูง หรือเป็นสินค้าที่ต้องระมัดระวังในการส่งเป็นพิเศษ ควรใส่วัสดุกันน้ำและสารกันชื้นอย่างซิลิก้าเจล (Silica gel) ลงไปภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ด้วย เพื่อดูดซับความชื้นส่วนเกิน และควรใช้ถุงดูดความชื้นที่มีขนาดและปริมาณเหมาะสมกับขนาดของบรรจุภัณฑ์จะช่วยให้ประสิทธิภาพการใช้งานดียิ่งขึ้น

4. เลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่มีระยะเวลาการขนส่งสั้น และเป็นผู้ให้บริการที่สามารถติดตามพัสดุได้ตลอดเส้นทางการขนส่ง เป็นหนึ่งในวิธีลดความเสียหายในการขนส่งได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การให้บริการขนส่งพัสดุของ SME SHIPPING ที่ส่งเร็ว ส่งไว ให้บริการขนส่งพัสดุทั่วโลก ส่งตรงถึงหน้าบ้าน

5. ทำประกันสินค้า

การทำประกันสินค้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเพิ่มความคุ้มครองกรณีเกิดความเสียหายจากความชื้นหรือสาเหตุอื่นๆ ระหว่างการขนส่ง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น อุบัติเหตุทางการขนส่ง การโจรกรรม ภัยธรรมชาติ หรือความเสียหายจากการบรรจุหีบห่อที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งการทำประกันจะช่วยให้ผู้ส่งรู้สึกอุ่นใจและมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ทางบริษัทขนส่งจะมีการชดเชยความเสียหายให้กับสินค้านั้นๆ ด้วย และการประกันสินค้าในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีหลายประเภท โดยแต่ละประเภทจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ได้แก่

  •         ความคุ้มครองแบบ All Risks เป็นความคุ้มครองที่ครอบคลุมความเสียหายทุกประเภท ยกเว้นความเสียหายที่เกิดจากสาเหตุที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  •         ความคุ้มครองแบบ Named Perils เป็นความคุ้มครองที่ระบุความเสียหายที่ต้องการความคุ้มครองไว้โดยเฉพาะ เช่น การสูญหาย การโจรกรรม ความเสียหายจากไฟไหม้ เป็นต้น

 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

 

หากต้องการนำเข้าสินค้าจำนวนมากจากต่างประเทศ ควรต้องเตรียมพร้อมอย่างไร?

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งในการนำมาจำหน่าย หรือ สั่งวัตถุดิบมาเพื่อต่อยอดสินค้าของตนเอง ในกรณีดังกล่าวผู้ประกอบการมักจะต้องการนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ก็อาจเกิดความกังวลขึ้นได้ เพราะกันนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในจำนวนมากนั้นอาจมองดูเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ถ้าหากเราเตรียมพร้อมก็จะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าจะต้องเตรียมพร้อมอย่างไรให้การนำเข้าปลอดภัย มั่นใจ หายห่วง!!

 

ศึกษาข้อกำหนด และระเบียบของประเทศปลายทางที่นำเข้าสินค้า

แต่ละประเทศปลายทางมีกฏระเบียบ และข้อกำหนดในการนำเข้าสินค้า แตกต่างกัน เช่น สินค้าบางชนิดอาจต้องมีใบอนุญาติพิเศษ หรือ การตรวจสอบจากศุลกากร นอกจากนั้นควรเตรียมพร้อมศึกษากฏดังกล่าว พร้อมพิจารณาว่าสินค้าที่ตนนำเข้านั้นอยู่ในรายการสินค้าต้องห้ามหรือไม่

 

ตรวจสอบข้อกำหนดด้านภาษี และค่าใช้จ่ายที่จำเป็น

การนำเข้าสินค้าจำนวนมากผู้นำเข้าจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดในเรื่อง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าขนส่ง ค่าประกัน และค่าดำเนินการผ่านศุลการกร สิ่งเหล่านี้ควรเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพิจารณาเพื่อให้สามารถเตรียมค่าใช้จ่าย และเพื่อให้ทราบถึงต้นทุนในการนำเข้า

 

จัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน

เมื่อทำการนำเข้าสินค้าผู้ประกอบการ ควรคำนึงถึงเอกสารสำคัญในการนำเข้าสินค้า เช่น ใบกำกับสินค้า ใบรายการบรรจุภัณฑ์ และ ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และนอกจากนั้น ต้องตรวจสอบว่ามีเอกสารอื่น ๆ ที่ศุลกากรของประเทศปลายทางต้องการหรือไม่ 

 

ทำประกันภัยสินค้า

ในการจัดนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมากนั้น เป็นการดำเนินการที่มีมูลค่า และค่าใช้จ่ายสูง เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของสินค้า และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ควรทำประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง เพราะหากสินค้าตกหล่น หรือเกิดความเสียหายระหว่างทาง ประกันจะช่วยคุมครองจากการสูญเสีย และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

เลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ 

การเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจว่าการนำเข้าสินค้าของคุณจะปลอดภัยหายห่วง เพราะอยู่ในมือของบริษัทขนส่งที่ไว้ใจได้ นอกจากนั้นบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์จะสามารถให้คำปรึกษา และคำแนะนำที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการได้ 

 

การนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการต้องอาศัยการวางแผน และการเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบ รวมถึงผู้ประกอบการนั้นต้องศึกษา และทำความเข้าใจกฏระเบียบเพื่อให้สามารถเตรียมเอกสารประกอบการส่งได้ครบถ้วน อีกทั้งการเตรียมการอย่างรอบคอบนั้นจะทำให้เราทราบถึงต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ ได้  และข้อที่สำคัญไม่แพ้ข้ออื่น ๆ เลยคือการเลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ ต้องเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ และมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

หากของตีกลับจากต่างประเทศ เราควรรับมืออย่างไรบ้าง?

สำหรับพ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการรายย่อย ที่ต้องส่งของไปยังต่างประเทศ ทุกคนก็หวังอยากให้สินค้าถึงมือผู้รับไวที่สุด และปลอดภัยที่สุด แต่ต้องปวดหัวทุกทีเมื่อสินค้าขึ้นสถานะว่าถูกตีกลับ เพราะนั่นอาจหมายความว่าสินค้าที่เราตั้งใจส่งไปเป็นอย่างดี นั้นไม่ถึงมือผู้รับอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ให้กับลูกค้า และผู้ใช้บริการได้ และนอกจากนั้นยังส่งผลต่อชื่อเสียงของสินค้า และบริการได้ แต่ทำไมสินค้าถึงถูกตีกลับ และเราจะรับมือยังอย่างไรหากเหตุการณ์สุดน่าปวดหัวนี้เกิดขึ้น? 

 

ทำไมส่งของไปแล้วถึงถูกตีกลับ?

 

ที่อยู่ปลายทางไม่ถูกต้อง : อาจเป็นเหตุผลง่าย ๆ แต่เชื่อเถอะว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด และนับเป็นเหตุผลยอดนิยมในการที่พัสดุถูกตีกลับ การจ่าหน้าที่อยู่ไม่ถูกต้อง หรือ ให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน อาจส่งผลให้เจ้าหน้าที่ส่งพัสดุไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ เพื่อป้องกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อน ๆ ควรเช็ครายละเอียดที่อยู่ให้ถูกต้อง และครบถ้วน ก่อนที่จะดำเนินการส่งสินค้า

 

ไม่มีผู้รับปลายทาง : ในบางครั้งสาเหตุที่สินค้าถูกตีกลับนั้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้ถึงมือผู้รับได้ หรือ บางครั้งหากผู้รับสินค้าอาศัยอยู่ใน คอนโด หรือ อาคารที่ไม่มีนิติบุคคล ช่วยรับพัสดุก็อาจทำให้เกิดปัญหาดังกล่าวได้ ทางที่ดีเราควรคุยรายละเอียดวันส่ง และรับสินค้ากับทางลูกค้าให้เรียบร้อยเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าสินค้าจะส่งถึงมือผู้รับ 

 

เป็นสินค้าต้องห้าม : สินค้าบางชนิดเป็นสินค้าต้องห้าม ผู้ส่งจำเป็นต้องศึกษาข้อกฎหมายการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศให้ดี ก่อนนำส่งสินค้า และพิจารณาว่าสินค้าของตนเข้าข่ายสินค้าต้องห้ามหรือไม่ ซึ่งหากสินค้าเป็นสินค้าต้องห้าม อาจถูกตีกลับ หรือ บางครั้งอาจถูกยึดสินค้าได้

 

ขาดเอกสารที่จำเป็น : สินค้าบางชนิด เช่น ยา หรือ วัตถุเคมีภัณฑ์ เป็นสินค้าที่ต้องมีเอกสารประกอบการส่งสินค้า ซึ่งถ้าหากผู้ส่งไม่มีเอกสารดังกล่าวประกอบ อาจส่งผลให้ถูกตีกลับได้ เพราะฉะนั้นผู้ส่งจำเป็นต้องศึกษาข้อบังคับ และวิธีการขอใบอนุญาติ ให้ดีก่อนนำส่งสินค้า

 

จะรับมืออย่างไรหากสินค้าถูกตีกลับ?

 

ติดต่อบริษัทขนส่ง : สอบถามบริษัทขนส่งว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นทำไมสินค้าถึงถูกตีกลับ เพื่อให้ทราบถึงปัญหาอย่างละเอียด เช่น ที่อยู่ผิดพลาด ไม่ชัดเจน ขาดเอกสารขออนุญาติ หรือ เป็นสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาติในการส่งออก

 

ตรวจสอบเอกสาร และที่อยู่ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่อยู่ปลายทางให้ถูกต้อง และครบถ้วน และแก้ไขหากมีข้อผิดพลาด นอกจากนั้นต้องตรวจสอบว่ามีเอกสารประกอบการขออนุญาติสินค้า ตามกฏหรือระเบียบของประเทศปลายทางหรือไม่

 

ตรวจสอบกฏ และระเบียบของประเทศปลายทาง : ศึกษากฏหมาย และข้อบังคับ ในการจัดส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทางว่ามีข้อห้าม หรือระเบียบวิธีการอย่างไรบ้าง ทำการแก้ไข และทำเอกสารให้ครบถ้วนก่อนดำเนินการส่งใหม่อีกครั้ง

 

พิจารณาเปลี่ยนผู้ให้บริการ : ผู้ให้บริการขนส่งบางแห่งอาจขาดประสบการณ์ในการส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถแนะนำ หรือ ดำเนินการจัดส่งสินค้าให้เรียบร้อยไปยังปลายทางได้ หากกรณีเหล่านี้เกิดขึ้น ควรพิจารณาเปลี่ยนผู้ให้บริการ 

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาผู้ให้บริการที่มีประสบการณ์ ปลอดภัย และไว้ใจได้ SME SHIPPING เป็นผู้เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุไปยังต่างประเทศทั่วโลก บริการของเราเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อมและลูกค้ารายย่อยทั่วไป ผ่านบริษัทขนส่งชั้นนำ อาทิ Fedex ,ไปรษณีย์ไทย ,SF Express และ Teleport เป็นต้น

 

 โดยจุดเด่นของ SME SHIPPING คือบริการ Door to Door Service ที่สะดวกสบาย โดยรับเอกสารและพัสดุจากมือผู้ส่งและส่งถึงมือผู้รับปลายทางอย่างปลอดภัย

 

ส่งของไปจีน คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ส่งออกไทย

ตลาดจีนถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงสุดสำหรับการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย ด้วยจำนวนประชากรที่มหาศาลและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งของไปจีนหรือการส่งออกสินค้าไปจีนนั้นมีขั้นตอนและกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจขั้นตอนการส่งออกไปจีน เอกสารที่จำเป็น ภาษีและค่าธรรมเนียม รวมถึงเคล็ดลับในการทำตลาดสินค้าในจีน เพื่อให้การส่งออกของคุณประสบความสำเร็จ

4 ขั้นตอนการส่งออกไปจีน

การส่งออกสินค้าไปจีนมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. การเตรียมความพร้อม:

    • ศึกษาตลาดและเลือกสินค้า: ทำความเข้าใจความต้องการของตลาดจีนและเลือกสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค
    • หาผู้ซื้อ: ค้นหาผู้ซื้อที่มีศักยภาพในจีนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น งานแสดงสินค้า แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือตัวแทนจำหน่าย
    • เจรจาต่อรอง: ตกลงเงื่อนไขการค้า เช่น ราคา ปริมาณ และเงื่อนไขการชำระเงิน
  2. การเตรียมเอกสาร:

    • เอกสารส่งออก: เตรียมเอกสารส่งออกที่จำเป็น เช่น ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration), ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice), ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Waybill)
    • เอกสารอื่นๆ: อาจต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมตามประเภทสินค้าและข้อกำหนดของจีน เช่น ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin), ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate), หรือใบอนุญาตนำเข้า (Import License)
  3. การขนส่ง:

    • เลือกวิธีการขนส่ง: เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมกับสินค้าและความต้องการของคุณ เช่น การขนส่งทางเรือ ทางอากาศ หรือทางบก
    • บรรจุและติดฉลาก: บรรจุสินค้าอย่างปลอดภัยและติดฉลากตามข้อกำหนดของจีน
  4. การดำเนินพิธีการศุลกากร:

    • การสำแดงสินค้า: ยื่นเอกสารและชำระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า
    • การตรวจปล่อยสินค้า: รอการตรวจปล่อยสินค้าจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนผ่านพิธีการศุลกากร

เอกสารที่ใช้ในการส่งออกไปจีน

เอกสารที่จำเป็นในการส่งออกสินค้าไปจีนอาจแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า อย่างไรก็ตาม เอกสารพื้นฐานที่มักจะต้องใช้ ได้แก่

  • ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration)
  • ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice)
  • ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Waybill)
  • ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
  • ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) (สำหรับสินค้าอาหาร)
  • ใบอนุญาตนำเข้า (Import License) (สำหรับสินค้าบางประเภท)

ภาษีและค่าธรรมเนียมการส่งออกไปจีน

การส่งออกสินค้าไปจีนมีภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องดังนี้

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในจีนอยู่ที่ 13% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่
  • ภาษีศุลกากร: อัตราภาษีศุลกากรจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า สามารถตรวจสอบได้จาก HS Code ของสินค้า
  • ค่าธรรมเนียมอื่นๆ: อาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าดำเนินพิธีการศุลกากร ค่าตรวจสอบสินค้า หรือค่าขนส่งภายในประเทศจีน

การตลาดสินค้าส่งออกไปจีน

การทำตลาดสินค้าในจีนมีความท้าทายและแตกต่างจากตลาดอื่นๆ ผู้ส่งออกควรพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้

  • ทำความเข้าใจผู้บริโภคจีน: ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคจีน เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงใจ
  • ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์: จีนมีแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น Tmall, JD.com, และ WeChat ผู้ส่งออกควรใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค
  • สร้างแบรนด์: สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในตลาดจีน
  • ร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น: หาพันธมิตรทางธุรกิจในจีนเพื่อช่วยในการทำตลาดและจัดจำหน่ายสินค้า

กฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของจีน

จีนมีกฎระเบียบและข้อกำหนดการนำเข้าสินค้าที่เข้มงวด ผู้ส่งออกควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการนำเข้าสินค้า

ส่งออกสินค้าไปจีนอย่างมั่นใจ ไร้กังวล ไปกับ SME Shipping

SME Shipping พร้อมให้บริการด้านการขนส่งและพิธีการศุลกากรอย่างครบวงจรสำหรับการส่งออกสินค้าไปจีน เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การขนส่ง จนถึงการดำเนินพิธีการศุลกากร เพื่อให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

ติดต่อเรา:

  • LINE: @Shipping
  • โทร: 021057777

อย่าปล่อยให้ความซับซ้อนของการส่งออกไปจีนเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจของคุณ ปรึกษา SME Shipping วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการส่งออกอย่างมั่นใจ

ส่งของไปเกาหลี สำหรับผู้ส่งออกไทย

เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีกำลังซื้อสูง ทำให้เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ การส่งออกสินค้าไปเกาหลีใต้จึงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้และเติบโตทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การส่งของไปเกาหลีหรือส่งออกสินค้าไปเกาหลีใต้มีขั้นตอนและข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการส่งออกไปเกาหลีใต้ ตั้งแต่การเตรียมตัว การขนส่ง ไปจนถึงพิธีการศุลกากรและข้อตกลงทางการค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

การส่งออกสินค้าไปเกาหลี: ขั้นตอนและวิธีการ

การส่งออกสินค้าไปเกาหลีมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  1. การเตรียมความพร้อม:

    • ศึกษาตลาดและเลือกสินค้า: ทำความเข้าใจความต้องการของตลาดเกาหลีและเลือกสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคเกาหลี ศึกษาคู่แข่งและแนวโน้มตลาด เพื่อให้คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม
    • หาผู้ซื้อ: ค้นหาผู้ซื้อที่มีศักยภาพในเกาหลีผ่านช่องทางต่างๆ เช่น งานแสดงสินค้า แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือตัวแทนจำหน่าย
    • เจรจาต่อรอง: ตกลงเงื่อนไขการค้า เช่น ราคา ปริมาณ และเงื่อนไขการชำระเงิน
    • การจดทะเบียนและขอใบอนุญาต: ตรวจสอบและดำเนินการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเกาหลี
  2. การเตรียมเอกสาร:

    • เอกสารส่งออก: เตรียมเอกสารส่งออกที่จำเป็น เช่น ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration), ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice), ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Waybill)
    • เอกสารอื่นๆ: อาจต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมตามประเภทสินค้าและข้อกำหนดของเกาหลี เช่น ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin), ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) หรือเอกสารจาก MFDS (Ministry of Food and Drug Safety)
  3. การขนส่ง:

    • เลือกวิธีการขนส่ง: เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมกับสินค้าและความต้องการของคุณ เช่น การขนส่งทางเรือ ทางอากาศ หรือการขนส่งแบบรวม (Multimodal Transport)
    • บรรจุและติดฉลาก: บรรจุสินค้าอย่างปลอดภัยและติดฉลากตามข้อกำหนดของเกาหลี โดยเฉพาะการแปลฉลากเป็นภาษาเกาหลี
  4. การดำเนินพิธีการศุลกากร:

    • การสำแดงสินค้า: ยื่นเอกสารและชำระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า
    • การตรวจปล่อยสินค้า: รอการตรวจปล่อยสินค้าจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรเกาหลีซึ่งต้องผ่านพิธีการศุลกากร

ตลาดการค้าระหว่างไทยและเกาหลี: โอกาสและความท้าทาย

  • โอกาส:

    • เกาหลีใต้มีกำลังซื้อสูง และเปิดกว้างรับสินค้าจากต่างประเทศ
    • ความนิยมในวัฒนธรรมไทยและสินค้าไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    • ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA) ช่วยลดอุปสรรคทางการค้า
  • ความท้าทาย:

    • การแข่งขันสูงจากทั้งผู้ผลิตในประเทศและต่างประเทศ
    • กฎระเบียบและมาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด
    • ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษา

สินค้าที่เป็นที่ต้องการในเกาหลี

สินค้าไทยหลายชนิดได้รับความนิยมในตลาดเกาหลี เช่น

  • อาหารและเครื่องดื่ม: ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง ขนมขบเคี้ยว เครื่องปรุงรส และอาหารทะเลแปรรูป
  • สินค้าแฟชั่นและเครื่องประดับ: เสื้อผ้า เครื่องประดับ และรองเท้าที่มีสไตล์และคุณภาพ
  • ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม: เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และอาหารเสริมจากธรรมชาติ
  • สินค้าหัตถกรรมและของตกแต่งบ้าน: งานฝีมือไทยที่มีเอกลักษณ์และความประณีต
  • สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไอที: อุปกรณ์เสริมโทรศัพท์มือถือ และแกดเจ็ตต่างๆ

การทำการตลาดในเกาหลี

การทำการตลาดในเกาหลีต้องอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมและความชอบของผู้บริโภคชาวเกาหลี รวมถึงการใช้ช่องทางการตลาดที่เหมาะสม เช่น

  • แพลตฟอร์มออนไลน์: Naver, Coupang, และ Gmarket เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเกาหลี
  • โซเชียลมีเดีย: Instagram, YouTube และ KakaoTalk เป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคเกาหลี
  • อินฟลูเอนเซอร์: การร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยเพิ่มการรับรู้และความน่าเชื่อถือของแบรนด์
  • การตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม: เข้าใจกลุ่มเป้าหมายและปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสม

ข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและเกาหลี

ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (AKFTA) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2552 ช่วยลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าหลายประเภท ทำให้การส่งออกสินค้าจากไทยไปเกาหลีใต้เป็นไปได้ง่ายขึ้น

ส่งออกสินค้าไปเกาหลีอย่างมั่นใจ ไร้กังวล ไปกับ SME Shipping

SME Shipping พร้อมให้บริการด้านการขนส่งและพิธีการศุลกากรอย่างครบวงจรสำหรับการส่งออกสินค้าไปเกาหลี เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การขนส่ง จนถึงการดำเนินพิธีการศุลกากร เพื่อให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

ติดต่อเรา:

  • LINE: @Shipping
  • โทร: 021057777

อย่าปล่อยให้ความท้าทายในการส่งออกไปเกาหลีเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจของคุณ ปรึกษา SME Shipping วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการส่งออกอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จในตลาดเกาหลี

ส่งของไปอเมริกา โอกาสทองของผู้ส่งออกไทย

ส่งของไปอเมริกา: โอกาสทองของผู้ส่งออกไทย

สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่และมีศักยภาพสูงสำหรับสินค้าไทยหลากหลายประเภท ด้วยกำลังซื้อมหาศาลและความต้องการสินค้าที่หลากหลาย ทำให้สหรัฐฯ เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าไปอเมริกานั้นมีขั้นตอนและข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการส่งออกไปอเมริกา ตั้งแต่การเตรียมตัว การขนส่ง ไปจนถึงพิธีการศุลกากรและข้อตกลงทางการค้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

การส่งออกสินค้าไปอเมริกา: ขั้นตอนและกระบวนการ

การส่งออกสินค้าไปอเมริกามีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. การเตรียมความพร้อม:

    • ศึกษาตลาดและเลือกสินค้า: ทำความเข้าใจความต้องการของตลาดสหรัฐฯ และเลือกสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค
    • หาผู้ซื้อ: ค้นหาผู้ซื้อที่มีศักยภาพในสหรัฐฯ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น งานแสดงสินค้า แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือตัวแทนจำหน่าย
    • เจรจาต่อรอง: ตกลงเงื่อนไขการค้า เช่น ราคา ปริมาณ และเงื่อนไขการชำระเงิน
    • การจดทะเบียนบริษัท: หากจำเป็นต้องมีการจดทะเบียนบริษัทในสหรัฐฯ ควรดำเนินการให้เรียบร้อย
  2. การเตรียมเอกสาร:

    • เอกสารส่งออก: เตรียมเอกสารส่งออกที่จำเป็น เช่น ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration), ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice), ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) หรือใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Air Waybill)
    • เอกสารอื่นๆ: อาจต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมตามประเภทสินค้าและข้อกำหนดของสหรัฐฯ เช่น ใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin), ใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) หรือเอกสารจาก FDA (Food and Drug Administration)
  3. การขนส่ง:

    • เลือกวิธีการขนส่ง: เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสมกับสินค้าและความต้องการของคุณ เช่น การขนส่งทางเรือ ทางอากาศ หรือการขนส่งแบบรวม (Multimodal Transport)
    • บรรจุและติดฉลาก: บรรจุสินค้าอย่างปลอดภัยและติดฉลากตามข้อกำหนดของสหรัฐฯ
  4. การดำเนินพิธีการศุลกากร:

    • การสำแดงสินค้า: ยื่นเอกสารและชำระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า
    • การตรวจปล่อยสินค้า: รอการตรวจปล่อยสินค้าจากเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ

ข้อกำหนดการค้าระหว่างประเทศ

การส่งออกสินค้าไปอเมริกาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น

  • ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA): ไทยและสหรัฐฯ ไม่มีข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกัน ดังนั้นสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ อาจต้องเสียภาษีนำเข้าตามปกติ
  • กฎระเบียบด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย: สินค้าบางประเภท เช่น อาหาร ยา และเครื่องสำอาง ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของสหรัฐฯ
  • มาตรฐานสินค้า: สินค้าบางประเภทต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสหรัฐฯ เช่น มาตรฐานไฟฟ้า หรือมาตรฐานความปลอดภัย

ตลาดส่งออกอเมริกา: โอกาสและความท้าทาย

ตลาดสหรัฐฯ มีโอกาสมากมายสำหรับสินค้าไทย แต่ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญ เช่น

  • โอกาส: กำลังซื้อสูง ความต้องการสินค้าหลากหลาย และการเปิดรับสินค้าจากต่างประเทศ
  • ความท้าทาย: การแข่งขันสูง กฎระเบียบที่เข้มงวด และความแตกต่างทางวัฒนธรรม

ภาษีการนำเข้าของสหรัฐอเมริกา

สินค้าที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ อาจต้องเสียภาษีนำเข้า โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า สามารถตรวจสอบอัตราภาษีได้จาก Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของสหรัฐฯ

ข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและอเมริกา

ปัจจุบัน ไทยและสหรัฐฯ ยังไม่มีข้อตกลงการค้าเสรีร่วมกัน แต่มีกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐฯ (TIFA) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ

ส่งออกสินค้าไปอเมริกาอย่างมั่นใจ ไร้กังวล ไปกับ SME Shipping

SME Shipping พร้อมให้บริการด้านการขนส่งและพิธีการศุลกากรอย่างครบวงจรสำหรับการส่งออกสินค้าไปอเมริกา เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร การขนส่ง จนถึงการดำเนินพิธีการศุลกากร เพื่อให้การส่งออกของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

ติดต่อเรา:

  • LINE: @Shipping
  • โทร: 021057777

อย่าปล่อยให้ความซับซ้อนของการส่งออกไปอเมริกาเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจของคุณ ปรึกษา SME Shipping วันนี้ เพื่อเริ่มต้นการส่งออกอย่างมั่นใจ