วิธีการรับมือกำแพงภาษีจากต่างประเทศ | SME Shipping

ผู้ประกอบการไทย ควรรับมือกับกำแพงภาษีจากต่างประเทศอย่างไร

ในโลกของการค้าเสรี ความสามารถในการแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพหรือราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “อุปสรรคทางการค้า” ที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ กำแพงภาษี (Tariff Barriers) ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศปลายทาง ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญหน้า โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและนโยบายการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วผู้ส่งออกไทยจะปรับตัวยังไงให้รอดและโต?  ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ประกอบการควรรู้และรับมืออย่างไรกับสถานการ์การค้าแบบนี้ 

กำแพงภาษี มีผลอย่างไรต่อการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ?

กำแพงภาษี คือการเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าไทยในประเทศปลายทาง สูงขึ้น และ แข่งขันได้ยากลง เมื่อเทียบกับสินค้าภายในประเทศหรือคู่แข่งจากประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษี ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่:

  • ยอดขายลดลง เพราะผู้บริโภคเลือกสินค้าที่ถูกกว่า
  • กำไรหาย จากการต้องลดราคาขายเพื่อรักษาลูกค้า
  • เสียเปรียบด้านเวลาและต้นทุน จากกระบวนการตรวจสอบเอกสารและชำระภาษีเพิ่มเติม

กระทบสินค้าส่งออกอะไรบ้าง?

สินค้าจากไทยที่มักได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีต่างประเทศ เช่น:

  • สินค้าเกษตร: ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผลไม้แปรรูป
  • สินค้าอุตสาหกรรม: เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • สินค้าแฟชั่นและสิ่งทอ: เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศปลายทางไม่มีข้อตกลง FTA กับไทย หรือยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษี (เช่น GSP) ก็ยิ่งทำให้สินค้าของไทยแพงขึ้นทันที

รัฐบาลไทย รับมืออย่างไร?

รัฐบาลมีมาตรการหลายอย่างเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือกับกำแพงภาษี เช่น:

  • เจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าใหม่ เช่น อียู อินเดีย กลุ่ม Mercosur
  • ส่งเสริมการขอใช้สิทธิพิเศษภาษี เช่น FTA Form D, Form E หรือ CPTPP
  • สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและอบรมผู้ประกอบการ ผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมศุลกากร
  • สร้างตราสินค้าและมาตรฐานใหม่ เพื่อให้สินค้าสามารถแข่งขันด้านมูลค่า ไม่ใช่แค่ราคา เช่น การรับรองคุณภาพ ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม

การเลือก “ตลาดส่งออกที่มีภาษีต่ำ” หรือ “ตลาดที่ไทยมีข้อตกลง FTA” ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ ลดต้นทุน และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่หลายประเทศเริ่มกลับมาใช้กำแพงภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในประเทศ ซึ่งการวางแผนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี FTA (Free Trade Agreement) สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคง

ยกตัวอย่างการใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ เช่น:

  • ผู้ผลิตผลไม้แปรรูป
  • ส่งออกไปจีน ใช้ Form E
  • ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า 100%
  • คู่แข่งจากเวียดนามที่ไม่มีสิทธิ์ Form E ถูกเก็บภาษี 10%  สินค้าไทยได้เปรียบด้านราคา

กำแพงภาษีคือความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้ หากเข้าใจระบบภาษีนำเข้าอย่างดี และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยมีอยู่ ผู้ประกอบการสามารถ

กฏหมายขนส่งต่างประเทศที่ควรรู้ | SME Shipping

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศที่ผู้ประกอบการต้องรู้

การส่งออกหรือนำเข้าสินค้าไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน การเลือกบริษัทขนส่ง หรือภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจ “กำหนดความสำเร็จหรือความเสี่ยง” ของธุรกิจ นั่นก็คือ “ข้อกฎหมายด้านการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งหากผู้ประกอบการละเลยหรือไม่เข้าใจให้ดี อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น สินค้าถูกยึด ติดศุลกากร หรือถูกฟ้องร้องในต่างประเทศได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่ากฎหมายขนส่งต่างประเทศสำคัญอย่างไร และเรื่องไหนที่คุณควรรู้ไว้ก่อนทำการค้าโลก

ทำไม “ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศ” ถึงสำคัญ?

เมื่อธุรกิจเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ สิ่งที่ผู้ประกอบการมักให้ความสำคัญคือเรื่องราคา การขนส่ง และภาษีนำเข้า แต่มีอีกหนึ่งองค์ประกอบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบต่อทั้งต้นทุน ระยะเวลา และความปลอดภัยของสินค้าได้โดยตรง หากไม่เข้าใจหรือดำเนินการผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การสูญเสียทางธุรกิจได้อย่างไม่คาดคิด แล้วทำไมกฎหมายเหล่านี้จึงมีน้ำหนักมากขนาดนี้?

  1. ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย เพราะการไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศปลายทาง เช่น สินค้าต้องห้าม สินค้าควบคุม หรือข้อกำหนดบรรจุภัณฑ์ อาจทำให้สินค้า ถูกกักไว้ หรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก
  2. ป้องกันปัญหาทางธุรกิจ หากขนส่งผิดเงื่อนไขหรือเอกสารไม่ครบตามกฎหมาย อาจทำให้ลูกค้าปลายทางรับสินค้าไม่ได้ หรือเกิดปัญหาเรื่อง ความรับผิดชอบระหว่างผู้ส่ง-ผู้ขนส่ง-ผู้รับได้
  3. เสริมภาพลักษณ์มืออาชีพ ซึ่งลูกค้าต่างประเทศย่อมวางใจหากผู้ประกอบการมีความรู้เรื่องกฎหมายและสามารถจัดการเอกสารหรือข้อกำหนดข้ามประเทศได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนส่งออกสินค้า

  1. INCOTERMS คือเงื่อนไขทางการค้าสากลที่กำหนด ความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และเอกสารต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนของการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ภาษีศุลกากร หรือความเสียหายของสินค้า เช่น FOB, CIF, DDP ฯลฯ ระบุความรับผิดชอบเรื่องค่าขนส่ง ภาษี และความเสี่ยงในระหว่างการขนส่ง
  2. HS Code และข้อจำกัดของสินค้า ที่มีรหัสศุลกากร (HS Code) บ่งชี้ประเภทสินค้าเพื่อใช้คำนวณภาษีและตรวจสอบข้อจำกัด เช่น สินค้าบางประเภทต้องมีใบอนุญาตพิเศษหรือห้ามส่งออกไปยังบางประเทศ
  3. กฎหมายศุลกากรของประเทศปลายทาง ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎที่ไม่เหมือนกัน เช่น ออสเตรเลียมีข้อกำหนดเข้มงวดเรื่องไม้และอาหาร หรือสหรัฐฯ มีข้อจำกัดกับสินค้าจากบางประเทศ
  4. กฎหมายการขนส่งระหว่างประเทศ (เช่น Hague-Visby, Hamburg Rules) กำหนดความรับผิดชอบของบริษัทขนส่ง กรณีเกิดความเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง
  5. เอกสารทางการค้า เช่น Invoice, Packing List, ใบขนสินค้า, ใบรับรองแหล่งกำเนิด (CO), ใบอนุญาตส่งออก/นำเข้า เอกสารเหล่านี้ต้องถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายของทั้งสองประเทศ

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศเป็น “เรื่องจำเป็น” ที่ผู้ประกอบการควรเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะการเข้าใจในข้อกฎหมายไม่เพียงแค่เพื่อความปลอดภัยของสินค้าและชื่อเสียงของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วย

ภาษีนำเข้าและนโยบายของทรัมป์ น่ากลัวขนาดไหน? | SME Shipping

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ส่งของทางเรือ หรือ ส่งทางอากาศแบบประหยัดดีกว่ากัน? | SME Shipping

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ยากไหม หากผู้ประกอบการดำเนินเอกสารด้วยตนเอง | SME Shipping

ยากไหม? หากผู้ประกอบการจะดำเนินการนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

การนำเข้าส่งออกสินค้าเป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย พิธีการศุลกากร เอกสารต่างประเทศ และระบบโลจิสติกส์ ซึ่งฟังดูอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มสนใจเรียนรู้และดำเนินการด้วยตนเอง เพื่อประหยัดต้นทุนและควบคุมกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม การนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ซึ่งบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องควรรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้หากต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเอง

1. การจดทะเบียนและขอรหัสประจำตัวผู้ประกอบการ (Exporter/Importer Code)

ก่อนจะสามารถนำเข้าส่งออกได้ ผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกกับกรมศุลกากร ผ่านระบบ e-Customs โดยจะได้รับรหัสประจำตัว (Customs Registration ID) เพื่อใช้ในการระบุตัวตนในระบบของกรมศุลกากรทุกครั้งที่ทำธุรกรรม *แนะนำให้ดำเนินการขอรหัสตั้งแต่ก่อนเริ่มธุรกิจจริง เพื่อให้พร้อมเมื่อมีคำสั่งซื้อ

2. การเรียนรู้เรื่องพิกัดศุลกากร (HS Code)

HS Code (Harmonized System Code) เป็นรหัสตัวเลข 6-10 หลักที่ใช้จำแนกประเภทสินค้าในระดับสากล ซึ่งจะส่งผลต่อ

  • อัตราภาษีที่ต้องชำระ
  • ความจำเป็นในการขอใบอนุญาต
  • ข้อจำกัดเฉพาะของสินค้า (เช่น อาหาร, ยา, เครื่องมือแพทย์ ฯลฯ) หากใส่รหัสผิด สินค้าอาจโดนยึด ติดด่าน หรือถูกปรับย้อนหลังได้

3. เอกสารที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าส่งออก

ผู้ประกอบการต้องจัดเตรียมเอกสารต่างๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร รับ-ส่งสินค้า ยืนยันข้อมูลกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการ โดยเอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียม เช่น

  • Commercial Invoice: รายการสินค้า ราคาขาย
  • Packing List: รายละเอียดการบรรจุหีบห่อ
  • Bill of Lading / Air Waybill: เอกสารขนส่ง
  • ใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก (หากจำเป็น)
  • C/O (Certificate of Origin): เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เขตการค้าเสรี (FTA)

4. ความรู้เรื่องภาษีและอากร

ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเองจะต้องมีความรู้เรื่องภาษีและอากรเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหารเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง รวมทั้งนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนที่แท้จริงต้องรวมในสินค้าแต่ละครั้งที่ส่งออก อาทิ ภาษีนำเข้า (Import Duty) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และ ภาษีสรรพสามิต (ในบางประเภทสินค้า เช่น สุรา น้ำหอม เครื่องใช้ไฟฟ้า)

5. พิธีการศุลกากรและระบบ e-Customs

ทุกการนำเข้าส่งออกต้องผ่านการยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น

  • e-Customs: สำหรับยื่นใบขนสินค้า
  • NSW (National Single Window): สำหรับขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ แบบออนไลน์

หากยังไม่มีความชำนาญ อาจใช้ ตัวแทนออกของ (Customs Broker) ช่วยดำเนินการในช่วงเริ่มต้นก่อน

6. การเลือกบริษัทขนส่งหรือชิปปิ้ง (Freight Forwarder / Shipping Agent)

ในการนำเข้าส่งออกสินค้า “การขนส่ง” ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับต้นทุน เวลา และความปลอดภัยของสินค้าโดยตรง แม้ผู้ประกอบการจะดำเนินพิธีการศุลกากรด้วยตนเองได้ แต่ก็มักต้องอาศัย บริษัทขนส่ง (Freight Forwarder) หรือ ชิปปิ้ง (Shipping Agent) ในการจัดการขนส่งระหว่างประเทศและดูแลเอกสารขนส่งที่ซับซ้อน เช่น

  • แนะนำเส้นทางที่ประหยัด
  • เจรจากับสายเรือ/สายการบิน
  • ตรวจสอบเอกสารขนส่งให้ถูกต้อง

แม้ว่าการนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองจะมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่หากผู้ประกอบการมีความตั้งใจเรียนรู้ เข้าใจระบบ และวางแผนอย่างรอบคอบ ก็สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งประหยัดต้นทุนในระยะยาวอีกด้วย

เหตุผลที่ควรใส่ใจเอกสารนำเข้าส่งออก | SME Shipping

ทำไมผู้ประกอบการควรใส่ใจเรื่องเอกสารสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้า

 การทำธุรกิจที่ต้องมีการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ กลายเป็นเรื่องง่ายและเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งการนำเข้าส่งออกสินค้าไม่ใช่เพียงแค่การสั่งของหรือจัดส่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความเข้าใจในกระบวนการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องของ “เอกสารนำเข้าและส่งออก” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความปลอดภัยของการดำเนินธุรกิจ หากผู้ประกอบการละเลยหรือจัดการไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบทั้งด้านเวลา ต้นทุน และความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปค้นหาคำตอบว่าทำไมผู้ประกอบการ ถึงควรใส่ใจในเอกสารสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าให้มากขึ้น

เอกสารนำเข้าและส่งออกคืออะไร?

เอกสารนำเข้าและส่งออก (Import and Export Documents) คือเอกสารสำคัญที่ใช้ในการดำเนินพิธีการศุลกากรระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เช่น รายละเอียดสินค้า มูลค่า เส้นทางการขนส่ง ที่มาของสินค้า และผู้รับปลายทาง เอกสารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบและอนุมัติการนำเข้า/ส่งออก ซึ่งมักประกอบด้วยเอกสารหลัก เช่น

  • ใบกำกับสินค้า (Invoice)
  •  บัญชีรายการบรรจุสินค้า (Packing List)
  •  ใบตราส่ง (Bill of Lading / Air Waybill)
  • ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
  •  ใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)

เอกสารเหล่านี้เป็นตัวแทนข้อมูลสำคัญที่หน่วยงานศุลกากรใช้ในการพิจารณาอนุมัติการผ่านด่าน ตรวจสอบภาษี และตรวจสอบข้อกำหนดด้านความปลอดภัยหรือกฎหมายพิเศษอื่นๆ

ทำไมผู้ประกอบการควรใส่ใจเรื่องเอกสารนำเข้า-ส่งออก?

หลายคนอาจมองว่าเอกสารนำเข้า-ส่งออกเป็นแค่เรื่องเทคนิคหรือแค่กระดาษ แต่ในความจริงแล้วเอกสารนี้คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจระหว่างประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะหากผู้ประกอบการเตรียมเอกสารไม่ดี ขาดการตรวจเช็กให้รอบคอบจนเกิดมีผิดพลาด หรือขาดบางอย่างไป อาจส่งผลเสียแบบที่ไม่คาดคิดได้ แต่หากผู้ประกอบการใส่ใจในการตรวจสอบเอกสารนำเข้า-ส่งออกทุกครั้ง จะช่วยในเรื่องการดำเนินการ ดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงของสินค้าติดด่าน เพราะหากเอกสารไม่ครบหรือมีข้อมูลผิด ศุลกากรอาจไม่ปล่อยของ ทำให้สินค้าถูกกักไว้ เสียเวลา เสียเงิน และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าได้
  2. เป็นเอกสารที่ช่วยในการคำนวณภาษีได้แม่นยำ เนื่องจากข้อมูลในเอกสารใช้เป็นฐานในการคิดภาษี ถ้าเขียนผิดหรือคลาดเคลื่อน อาจโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หรือเสียภาษีเกินจริงได้
  3. เสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ เวลาทำงานกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ การมีระบบเอกสารที่ชัดเจนและเป็นมืออาชีพ จะช่วยให้คู่ค้ารู้สึกมั่นใจและอยากทำธุรกิจร่วมกับเรา
  4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น FTA หรือ BOI ถ้าเอกสารครบและถูกต้อง ก็สามารถยื่นขอสิทธิพิเศษทางภาษีต่างๆ ได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้
  5. มีหลักฐานไว้ใช้เมื่อต้องตรวจสอบย้อนหลัง ในกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับสินค้า หรือมีข้อพิพาททางธุรกิจ เอกสารเหล่านี้จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยปกป้องสิทธิ์ของผู้ประกอบการได้
  6. ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศได้ถูกต้อง กฎระเบียบของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน การเตรียมเอกสารให้เหมาะสมกับปลายทางเป็นการลดโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ล่วงหน้า

สรุปง่ายๆ ก็คือ แม้เรื่องเอกสารเอกสารนำเข้าและส่งออก (Import and Export Documents) จะดูจุกจิกและยิบย่อย แต่ก็สำคัญมากสำหรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า เพราะมันคือสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเดินไปได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต และช่วยให้ธุรกิจไปได้ไกลและมั่นคงยิ่งขึ้นนั่นเอง

เหตุผลที่คุณควรใช้บริการพิธีการศุลกากร | SME Shipping

เหตุผลดีดีที่ผู้ประกอบการควรใช้บริการพิธีการศุลกากร (Customs Clearance)

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าและส่งออกสินค้าจำเป็นต้องเข้าใจขั้นตอนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้คือ “พิธีการศุลกากร” ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและอนุมัติสินค้าที่เคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ หากขาดความรู้ ความชำนาญ หรือดำเนินการผิดพลาด อาจส่งผลให้สินค้าล่าช้า ถูกปรับ หรือถูกกักไว้ได้ ดังนั้น การใช้บริการพิธีการศุลกากรจากผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้การดำเนินธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมืออาชีพยิ่งขึ้น และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับ “พิธีการศุลกากร (Customs Clearance)” และความสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้ 

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คืออะไร?

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คือกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อมีการนำเข้า (Import) หรือส่งออก (Export) สินค้าข้ามพรมแดนประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเอกสาร ประเมินภาษีอากร และดำเนินการอนุมัติโดยกรมศุลกากร เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่มีการนำเข้า-ส่งออกไปนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นของต้องห้าม หรือของต้องจำกัด และมีการชำระภาษีอากรอย่างถูกต้อง

พิธีการศุลกากรสำคัญยังไง?

พิธีการศุลกากรเปรียบเหสมือนด่านแรกที่มีผลต่อความเร็ว ความถูกต้อง และต้นทุนของการนำเข้า/ส่งออกสินค้า เพราะหากดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือขาดความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบเอกสาร สินค้าที่เข้ามาก็อาจถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หรือเลวร้ายกว่านั้นคือถูกกักไว้หรือถูกทำลาย อีกทั้งยังอาจกระทบต่อชื่อเสียงทางธุรกิจในสายตาพาร์ตเนอร์ต่างประเทศด้วย ดังนั้น การดำเนินพิธีการศุลกากรอย่างรัดกุมจึงเป็นหัวใจของการทำธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ

ทำไมผู้ประกอบการควรใช้บริการพิธีการศุลกากร?

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่เข้าใจในการนำเข้า (Import) หรือส่งออก (Export) ของพิธีการศุลกากร ในปัจจุบันก็มีผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทตัวแทน (Customs Broker) ที่เข้ามาเป็นคนกลางในการให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีข้อดีมากมายที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการยื่นเอกสาร และช่วยประหยัดเวลาและลดความล่าช้า ช่วยให้สินค้าผ่านด่านได้รวดเร็วขึ้น
  2. ลดต้นทุนแฝง เช่น ค่าภาษีหรือค่าปรับจากความผิดพลาด ซึ่งการเลือกใช้บริการที่มีประสบการณ์จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น
  3. สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับข้อกำหนดทางการค้าและสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ เช่น การใช้สิทธิพิเศษภายใต้ FTA, BOI หรือการขอยกเว้นภาษีอากร
  4. เพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าต่างประเทศ โดยเมื่อลูกค้าเห็นว่าคุณมีระบบจัดการนำเข้า/ส่งออกอย่างมืออาชีพ ย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ธุรกิจ
  5. อัปเดตข้อมูลกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อช่วยให้คุณไม่ตกหล่นต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรือข้อบังคับด้านศุลกากร

การใช้บริการพิธีการศุลกากรไม่เพียงแต่ช่วยให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและพร้อมเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งผู้ประกอบการที่ต้องการลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ จะต้องทำความเข้าใจและเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากรอย่างจริงจังเพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งกล่าวโดยสรุป พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คือ การที่ผู้ส่งหรือผู้รับสินค้าต้องดำเนินการกับหน่วยงานศุลกากรของประเทศนั้นๆ เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าหรือออกจากประเทศตามกฎหมายนั่นเอง

ทำไม Green Logistics คือสิ่งที่คุณควรใส่ใจ | SME Shipping

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

7 เคล็ดลับในการจัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศ | SME Shipping

กลยุทธ์จัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศให้เวิร์ก

เมื่อแบรนด์หรือธุรกิจไทยเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้สินค้าเข้าถึงใจผู้บริโภคได้คือ “โปรโมชั่น” แต่การจัดโปรโมชั่นให้เวิร์กในแต่ละประเทศไม่สามารถใช้สูตรเดียวกันได้เสมอไป ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการให้แคมเปญ/โปรโมชั่นส่งเสริมการขายประสบความสำเร็จในระดับสากล ต้องรู้จักกลยุทธ์ที่เหมาะกับบริบทของตลาดประเทศนั้น และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูแนวทางที่จะช่วยให้การจัดโปรโมชั่นในต่างประเทศมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ลูกค้าในยุคนี้

1. ศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ

ก่อนวางแผนโปรโมชั่น สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าผู้บริโภคในแต่ละประเทศมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าอย่างไร เช่น ผู้บริโภคในญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคุณภาพและแบรนด์มากกว่าราคา ขณะที่ในอินเดียหรือฟิลิปปินส์ ผู้คนอาจตอบสนองได้ดีต่อโปรโมชันแบบลดแลกแจกแถม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงวัฒนธรรมและเทศกาลเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นจุดขายหรือธีมของโปรโมชั่นให้เข้ากับท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้น เช่น

  • ญี่ปุ่น: เน้นคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ
  • อินเดีย: ชอบโปรโมชั่นที่ให้ความคุ้มค่า
  • จีน: ให้ความสำคัญกับโปรโมชั่นช่วงเทศกาล เช่น 11.11 (วันคนโสด)

2. กำหนดเป้าหมายของโปรโมชั่นให้ชัดเจน

การจัดโปรโมชั่นไม่ควรทำเพียงเพราะคู่แข่งทำ แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มยอดขายในช่วงสั้นๆ, กระตุ้นการทดลองใช้สินค้าใหม่ หรือสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หากเป้าหมายต่างกัน รูปแบบและข้อความของโปรโมชันก็ต้องปรับให้เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่วางไว้

3. เลือกรูปแบบโปรโมชั่นให้เหมาะกับตลาดนั้นๆ

ประเภทของโปรโมชั่นที่ใช้ได้ผลในไทย อาจใช้ไม่ได้ในประเทศอื่น เช่น Flash Sale หรือโปรโมชั่นแบบจำกัดเวลานิยมในตลาดตะวันตกที่ผู้บริโภคตอบสนองต่อความเร่งด่วน ในขณะที่บางตลาดนิยมโปรแบบซื้อ 1 แถม 1 หรือรับของแถมที่ให้ความรู้สึก “คุ้มค่า” มากกว่า การเลือกกลยุทธ์โปรโมชั่นจึงควรอ้างอิงจากพฤติกรรมเฉพาะของผู้บริโภคในตลาดเป้าหมายนั้น (โปรโมชั่นตามเทศกาลท้องถิ่น)

4. ปรับการตลาดให้เข้ากับแต่ละท้องถิ่น (Localized Marketing)

การทำการตลาดแบบ Localized คือกุญแจสำคัญของโปรโมชั่นที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เพราะผู้บริโภคแต่ละพื้นที่มีรสนิยม ภาษา และความเชื่อที่แตกต่างกัน แคมเปญจึงต้องสื่อสารด้วยภาษาที่สอดคล้องกับบริบท วัฒนธรรม และความนิยมในท้องถิ่น ไม่ใช่แค่แปลภาษาแบบตรงตัว นอกจากนี้ การใช้ Influencer หรือพรีเซนเตอร์ที่เป็นที่รู้จักในประเทศนั้น จะช่วยสร้างความเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ลึกยิ่งขึ้น

5. สื่อสารโปรโมชั่นอย่างชัดเจนและเหมาะสมกับช่องทางในแต่ละประเทศ

การเลือกช่องทางในการสื่อสารถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจของความสำเร็จ ซึ่งการทำการตลาดควรเลือกช่องทางให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่  เลือกใช้แพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคของประเทศนั้น เช่น

  • จีน: WeChat, Tmall
  • ญี่ปุ่น: LINE, Rakuten
  • สหรัฐฯ / ยุโรป: Instagram, TikTok, Facebook

6. วัดผลและปรับกลยุทธ์โปรโมชันอย่างต่อเนื่อง

การวัดผลคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโปรโมชั่นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แคมเปญที่ดีควรถูกติดตามและวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ปรับปรุงแผนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ หรือความคุ้มค่า ตัวชี้วัดที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

  • อัตราการคลิก (CTR)
  • ยอดขายจากแคมเปญ
  • Conversion Rate
  • จำนวนผู้ใช้โค้ดส่วนลด

7. ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น เพื่อเข้าถึงตลาดอย่างแท้จริง

การมีพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจบริบทของประเทศปลายทางจะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับตัวเข้ากับตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่าย เอเจนซี่โฆษณา หรือ Influencer ในพื้นที่ คนเหล่านี้มีข้อมูลเชิงลึกที่แบรนด์ไม่สามารถหาได้จากการวิเคราะห์ทั่วไป และสามารถให้คำแนะนำ ฟีดแบ็ก หรือแม้แต่ช่วยออกแบบแคมเปญที่เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในพื้นที่ได้โดยตรง

 การจัดกลยุทธ์จัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ส่วนลดเท่าไหร่แต่อยู่ที่การเข้าใจพฤติกรรม วัฒนธรรม และการสื่อสารอย่างถูกจังหวะ ถ้าคุณสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดท้องถิ่นได้ดี โอกาสที่แบรนด์จะเติบโตในระดับสากลก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม 

พฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ในต่างประเทศที่ควรรู้ | SME Shipping

เจาะพฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ต่างประเทศ ขายอย่างไรให้โดนใจ?

ในโลกที่การตลาดออนไลน์ไม่มีพรมแดน ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากขึ้นผ่านสื่อออนไลน์ทำให้เกิดการปรับตัว และทำการตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการไทยจำนวนมากเริ่มหันไปจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก แต่การจะ “ขายดี” ได้นั้น ไม่ใช่แค่มีสินค้าดีหรือราคาถูกเท่านั้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางที่นิยมใช้ วิธีการชำระเงิน การเลือกสินค้า หรือแม้แต่ความคาดหวังต่อการบริการหลังการขาย ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ซื้อจากจีน อเมริกา หรือยุโรปคิดอย่างไรเวลาช้อปออนไลน์ และต้องปรับกลยุทธ์แบบไหนให้โดนใจที่สุด

เจาะพฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ต่างประเทศ

1. อเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ / แคนาดา)

  • ผู้บริโภคในอเมริกาให้ความสำคัญกับความง่ายในการสั่งซื้อ เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ใช้งานง่าย
  • ความโปร่งใสในการจัดส่ง เห็นวันที่จัดส่งที่แน่นอน มี Tracking ชัดเจน
  • นิยมใช้บัตรเครดิต / PayPal
  • รีวิวสำคัญมาก: รีวิวจากลูกค้าคนก่อนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสูง

2. ยุโรป (เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร)

  • สนใจสินค้ายั่งยืน / รักษ์โลก
  • ชอบเว็บที่มีข้อมูลบริษัทชัดเจน มีนโยบายคืนสินค้ารองรับ
  • ชาวยุโรปมักต้องการอ่านเว็บไซต์เป็นภาษาท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ
  • นิยมใช้การโอนผ่านธนาคาร (SEPA), PayPal, Klarna

3. เอเชียตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้)

  • ซื้อผ่านมือถือเป็นหลัก
  • ชอบโปรโมชั่นและแฟลชเซลล์
  • ลูกค้าจีนจะใช้แอปพลิเคชั่นเฉพาะ เช่น WeChat Pay / Alipay
  • ความเร็วในการตอบแชท / บริการลูกค้าคือหัวใจ

4. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์)

  • ช้อปผ่านโซเชียล (Facebook / TikTok / Instagram)
  • มีพฤติกรรม “ดูของนาน ตัดสินใจเร็วเมื่อมีโปร”
  • นิยมเก็บเงินปลายทาง (COD)

กลยุทธ์การขายให้โดนใจลูกค้าต่างประเทศ

1.ปรับเนื้อหาให้ Localized ใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายในแต่ละประเทศ และใส่คำอธิบายสินค้าให้ละเอียด มีภาพหลายมุม วิดีโอสาธิตช่วยเพิ่ม Conversion

2. เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะกับแต่ละตลาด ดังนี้

  • จีน: JD.com, Tmall
  • อเมริกา/ยุโรป: Amazon, Etsy
  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: Shopee, Lazada, TikTok Shop
  • โซเชียลคอมเมิร์ซ: Facebook / TikTok Live ก็มาแรงในหลายประเทศ

3. รองรับช่องทางชำระเงินท้องถิ่น

  • เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบจ่ายเงินที่ผู้ซื้อคุ้นเคย
  • ใช้ Payment Gateway อย่าง Stripe, PayPal, 2C2P ที่รองรับหลายประเทศ

4. มีระบบขนส่งระหว่างประเทศที่ไว้ใจได้

  • จัดส่งไว มีระบบ Tracking และมีบริการรับคืนสินค้า (ถ้าเป็นไปได้)
  • ใช้โลจิสติกส์แบบ Fulfillment เช่น Fulfillment by Amazon (FBA), SME Shipping

5. สร้างความน่าเชื่อถือ

  • รีวิวจากลูกค้า / คะแนนร้านค้า / การันตีคุณภาพ
  • มีหน้า About Us / แสดงใบรับรอง / การันตีความปลอดภัยของข้อมูล

การขายออนไลน์ในตลาดโลก ไม่ใช่แค่แปลเว็บไซต์ แต่ต้องเข้าใจลึกถึง พฤติกรรม วัฒนธรรม ช่องทางการซื้อ และความคาดหวังของลูกค้า ในแต่ละพื้นที่ แล้วปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ทั้งช่องทางขาย รูปแบบโปรโมชั่น วิธีจ่ายเงิน