วิธีส่งออกสินค้า

ก่อนผมมาเริ่มงานที่เอสเอ็มอี ชิปปิ้ง เคยทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายโลจิสติกส์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังขยายตลาดใหม่ไปยังต่างประเทศ ทางผู้บริหารจึงมอบหมายงานให้ผมดูแลเรื่อง “วิธีส่งออกสินค้า” ทั้งระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าของเราจะถูกจัดส่งข้ามทะเลได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และทันเวลา

ก่อนหน้านี้ ผมเองเคยดูแลงานขนส่งในประเทศอยู่บ้าง แต่พอต้องขยับมาดู “การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ” จริงจัง ก็พบว่ามีรายละเอียดที่ต้องจัดการมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น เอกสารศุลกากร การประสานงานกับ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ พิธีการในประเทศและปลายทาง รวมถึงการคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จึงตั้งใจเขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ค่อย ๆ เรียนรู้และปฏิบัติจริง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่เพิ่งรับผิดชอบงานด้านการส่งออกเช่นเดียวกันครับ


1. ทำความเข้าใจกับสินค้าและตลาดเป้าหมาย

1.1 วิเคราะห์ตัวสินค้า

สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ คือ เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวสินค้าของเราให้ชัดเจนก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร ต้องการการดูแลหรือบรรจุเป็นพิเศษหรือไม่ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าอาหารสด ผลิตภัณฑ์เน่าเสียง่าย หรือสารเคมีบางชนิด อาจต้องใช้ เทคนิคการขนส่งสินค้า เฉพาะทาง รวมถึงเงื่อนไขเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น และมาตรฐานการบรรจุที่ปลอดภัย

  • ประเภทสินค้า: อาหารสด เครื่องจักร เครื่องแต่งกาย หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะมีข้อจำกัดและเงื่อนไขในการส่งออกแตกต่างกัน
  • ปริมาณและน้ำหนัก: ถ้าส่งสินค้าในปริมาณมากและหนัก การเลือกตู้คอนเทนเนอร์แบบ FCL (Full Container Load) อาจช่วยประหยัดต้นทุนกว่า แต่ถ้าส่งของจำนวนน้อย LCL (Less than Container Load) ก็ดูเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าได้เช่นกัน
  • มูลค่าของสินค้า: ยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูง เราอาจต้องพิจารณาเรื่อง การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance) เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง

1.2 ตลาดปลายทาง

  • กฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า: ต้องตรวจสอบเรื่องภาษี นโยบายศุลกากร หรือมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งอาจมีความแตกต่างจากประเทศไทยอย่างมาก
  • อัตราภาษีนำเข้า: บางประเทศอาจมีภาษีนำเข้าค่อนข้างสูง หากสินค้าเราไม่ได้อยู่ในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อาจทำให้ราคาสุดท้ายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายสูงขึ้น จนแข่งขันได้ยาก
  • พฤติกรรมผู้บริโภค: ต้องเข้าใจว่าลูกค้าในประเทศปลายทางต้องการสินค้าแบบไหน เพื่อตั้งราคาและวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสม

การทำความเข้าใจสินค้าของเราอย่างละเอียด รวมถึงเงื่อนไขของตลาดปลายทาง จะช่วยให้การวางแผน “วิธีส่งออกสินค้า” เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงในอนาคต


2. เตรียมการภายในบริษัท

2.1 ประสานงานกับฝ่ายผลิตและคลังสินค้า

การส่งออกสินค้าไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายโลจิสติกส์เพียงคนเดียว แต่ว่าต้องอาศัยการทำงานร่วมกับหลายแผนกในบริษัท โดยเฉพาะฝ่ายผลิต และฝ่ายคลังสินค้า

  • ฝ่ายผลิต: ต้องทราบว่าต้องผลิตสินค้าอะไร ปริมาณเท่าใด เพื่อเตรียมวัตถุดิบและควบคุมคุณภาพให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและมาตรฐานการส่งออก
  • ฝ่ายคลังสินค้า: ต้องจัดเก็บสินค้าให้ดี เลือกใช้ระบบหมุนเวียนสินค้า (เช่น FIFO) อย่างมีประสิทธิภาพ และแจ้งข้อมูลสต็อกให้ฝ่ายโลจิสติกส์ทราบ เพื่อคำนวณเวลาจัดส่งได้ถูกต้อง

การสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างแผนกจะช่วยให้เราทราบว่าควรเริ่มกระบวนการขนส่งเมื่อใด และจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

2.2 วางแผนตารางส่งออก

เมื่อได้จำนวนและกำหนดพร้อมส่งสินค้าแล้ว ผมจะตรวจสอบ ตารางเรือ (Sailing Schedule) ของ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ ต่าง ๆ เพื่อเลือกเที่ยวเรือที่เหมาะสม หากต้องการส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องรายเดือน ก็อาจตกลงทำสัญญาระยะยาว เพื่อให้ได้อัตราค่าระวาง (Freight) ที่เหมาะสม


3. ศึกษาเอกสารศุลกากรและพิธีการ

หัวใจสำคัญของ “วิธีส่งออกสินค้า” คือการจัดการด้าน เอกสารศุลกากร อย่างถูกต้อง หากผิดพลาดหรือล่าช้า อาจทำให้สินค้าไปค้างที่ท่าเรือและเสียค่าใช้จ่ายสูงเกินความจำเป็น

  • Commercial Invoice: เอกสารระบุข้อมูลผู้ขาย ผู้ซื้อ รายละเอียดสินค้า ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน
  • Packing List: ระบุข้อมูลการบรรจุ เช่น จำนวนกล่อง น้ำหนัก ขนาดพาเลทหรือคอนเทนเนอร์
  • ใบอนุญาตส่งออก (Export License): หากสินค้าต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
  • Certificate of Origin: กรณีที่สินค้าของเราอาจได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในบางประเทศ ถ้ามีข้อตกลง FTA

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance)

ในประเทศไทยสามารถยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว ซึ่งลดขั้นตอนด้านกระดาษค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องรอบคอบในการกรอกข้อมูล เช่น รหัส HS Code ให้ถูกต้องตรงกับประเภทสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง


4. เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ

ในการเลือกผู้ให้บริการขนส่ง ผมแนะนำให้พิจารณาหลายด้าน ทั้ง ตารางเรือ (Schedule) ค่าใช้จ่ายบริการ (Freight + ค่าธรรมเนียมท่าเรือ) รวมถึงคุณภาพการบริการ

  • การเปรียบเทียบราคา: ขอใบเสนอราคา (Quotation) จากผู้ให้บริการหลายเจ้า เพื่อดูว่าใครให้ราคาเหมาะสมที่สุดและมีรอบเรือที่ตรงกับความต้องการ
  • ชื่อเสียงและรีวิว: หากมีเพื่อนหรือคนรู้จักในแวดวงนี้ ลองสอบถามประสบการณ์การใช้บริการมาก่อน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
  • Freight Forwarder: อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ตัวแทนจัดการขนส่ง (Forwarder) ที่สามารถช่วยเราวางแผนและดูแลเอกสารได้ครบวงจร แม้อาจเสียค่าบริการเพิ่ม แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาและลดความเสี่ยงได้มาก

5. การบรรจุและการเลือกประเภทตู้คอนเทนเนอร์

5.1 การบรรจุ (Packing)

  • เลือกวัสดุห่อหุ้มและกล่องที่แข็งแรง ป้องกันความชื้นหรือแรงกระแทกระหว่างขนส่ง
  • ติดสัญลักษณ์และฉลากเตือนให้ชัดเจน เช่น สินค้าเปราะบาง (Fragile) หรือสินค้าที่ต้องวางทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
  • หากเป็นสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (เช่น อาหารแช่แข็ง) ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้คอนเทนเนอร์แช่เย็น (Reefer Container) และมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม

5.2 ประเภทตู้คอนเทนเนอร์

  1. Dry Container: สำหรับสินค้าแห้งทั่วไป
  2. Reefer Container: สำหรับสินค้าเย็น แช่แข็ง หรือต้องควบคุมอุณหภูมิ
  3. Open Top / Flat Rack: สำหรับสินค้าที่มีขนาดเกินกว่าประตูตู้มาตรฐาน
  4. FCL vs. LCL: ถ้าสินค้าเต็มตู้หรือใกล้เต็ม ควรใช้ FCL เพื่อป้องกันการปะปนกับสินค้าอื่น แต่ถ้าปริมาณน้อยอาจเลือก LCL เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

6. ภาษีและค่าธรรมเนียมส่งออก

เมื่อต้องส่งสินค้าออกนอกประเทศ เราควรเข้าใจค่าใช้จ่ายอย่างรอบด้าน ทั้งภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพื่อวางแผนต้นทุนได้แม่นยำ

  • ค่าระวางเรือ (Freight): คิดเป็นต่อ CBM (cubic meter) หรือน้ำหนัก แล้วแต่ลักษณะสินค้า หรืออาจคิดเป็นต่อตู้ (FCL)
  • THC (Terminal Handling Charge): ค่าบริการท่าเรือ เช่น ค่ายกตู้ ค่าบริหารจัดการในท่าเรือ
  • เอกสารต่าง ๆ: เช่น ค่าทำใบกำกับสินค้า ค่าธรรมเนียมการยื่นใบขนสินค้าขาออก
  • ภาษีขาออก: ไทยอาจมีการเก็บภาษีขาออกบ้างในสินค้าบางประเภท (แต่ไม่แพร่หลายมากนัก)
  • ภาษีนำเข้าปลายทาง: ถ้าเงื่อนไขการขายระบุว่าเราต้องรับผิดชอบภาษีปลายทาง (DDP: Delivered Duty Paid) เราต้องรวมภาษีนี้ในโครงสร้างราคา

7. Incoterms และการประกันภัยสินค้า

7.1 Incoterms

Incoterms คือข้อตกลงสากลที่ระบุว่าผู้ขายและผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงช่วงไหนบ้าง ตัวอย่างเช่น

  • FOB (Free on Board): ผู้ขายรับผิดชอบจนกระทั่งสินค้าขึ้นเรือที่ท่าเรือต้นทาง หลังจากนั้นผู้ซื้อรับผิดชอบ
  • CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายดูแลค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงระหว่างทางที่เหลือเป็นของผู้ซื้อ
  • DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบทุกอย่างจนสินค้าถึงหน้าประตูผู้ซื้อ (รวมภาษีนำเข้าปลายทาง)

7.2 การทำประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

ในบางกรณีอาจไม่บังคับให้ทำประกัน แต่ถ้าสินค้ามีมูลค่าสูงหรือมีความเสี่ยง เช่น แตกหักง่าย เป็นของเน่าเสียง่าย ก็ควรทำไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายทุกอย่าง ยกเว้นที่ระบุเป็นข้อยกเว้น (เช่น สงคราม หรือการจงใจทำลาย)
  • Institute Cargo Clauses (A, B, C): แต่ละเงื่อนไขมีระดับการคุ้มครองต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทสินค้าและเส้นทางที่ใช้

8. ขั้นตอนการดำเนินการจริง

8.1 จองตู้และคอนเฟิร์มวันส่ง

เมื่อฝ่ายผลิตและคลังสินค้าพร้อม ผมจะติดต่อผู้ให้บริการขนส่ง (หรือ Freight Forwarder) เพื่อจองตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงระบุวันและเวลาที่ต้องการให้รถขนตู้เข้ามารับสินค้า ถ้าเป็น FCL ผมจะนัดหมายล่วงหน้าเพื่อให้การขนตู้เป็นไปอย่างราบรื่น

8.2 ตรวจสภาพตู้คอนเทนเนอร์

ก่อนบรรจุสินค้า ควรตรวจสภาพภายในตู้ให้เรียบร้อย เช่น มีรูรั่วหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือไม่ ถ้าพบปัญหา ควรแจ้งบริษัทขนส่งให้เปลี่ยนตู้ทันที

8.3 บรรจุสินค้า (Stuffing)

ขั้นตอนนี้ต้องคุมเข้มเรื่องวิธีวางสินค้าในตู้เพื่อป้องกันความเสียหาย ควรกระจายสินค้าน้ำหนักมากให้ทั่วพื้นที่ และป้องกันไม่ให้สินค้าเคลื่อนที่ได้ง่ายระหว่างขนส่ง

8.4 ซีลตู้ (Seal)

หลังการบรรจุเสร็จ จะมีการซีลตู้คอนเทนเนอร์เพื่อความปลอดภัย เมื่อถึงปลายทาง ผู้รับสินค้าจะตรวจสอบซีลอีกครั้งว่าตรงกับเอกสารหรือไม่


9. ติดตามสถานะระหว่างการขนส่ง

เมื่อสินค้าเริ่มเดินทางบนเรือแล้ว ผมจะติดตามสถานะผ่านระบบ Tracking ของสายเรือ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์หรือ API หากมีความล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศหรือท่าเรือแออัด ควรแจ้งให้ผู้ซื้อในต่างประเทศทราบโดยเร็ว เพื่อให้เตรียมการล่วงหน้าได้


10. เคลียร์สินค้าฝั่งปลายทาง

หากเงื่อนไข Incoterms ระบุว่าผู้ซื้อเป็นคนจัดการขั้นตอนศุลกากรปลายทาง (เช่น FOB หรือ CIF) หน้าที่หลักของเราก็จะลดลง แต่ถ้าเป็น DDP เราอาจต้องติดต่อหน่วยงานท้องถิ่นให้ช่วยเคลียร์สินค้า จ่ายภาษีนำเข้า และจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับ ซึ่งควรวางแผนร่วมกับ Freight Forwarder หรือเอเย่นต์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์


11. ประเมินผลและปรับปรุง

หลังจากที่สินค้าถึงมือลูกค้าต่างประเทศ ผมมักทำ “Post-shipment Review” เพื่อสรุปว่า

  1. ค่าใช้จ่ายจริง ที่เกิดขึ้นเทียบกับงบประมาณเป็นอย่างไร
  2. ระยะเวลาขนส่ง ตรงตามกำหนดที่ลูกค้าคาดหวังหรือไม่
  3. ปัญหา ที่พบระหว่างทาง เช่น เอกสารล่าช้า สินค้าเสียหาย ฯลฯ

เมื่อประเมินแล้ว ผมจะหารือกับทีมภายในบริษัท เพื่อวางแนวทางแก้ไขในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสายเรือใหม่ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ หรือการปรับปรุงระบบการทำงาน


12. เคล็ดลับจากประสบการณ์มือใหม่

  1. จัดทำ Checklists: รวบรวมขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมสินค้า เอกสารศุลกากร ไปจนถึงการติดตามเรือ ช่วยป้องกันการลืมงานยิบย่อย
  2. สื่อสารภายในอย่างชัดเจน: ทุกฝ่ายในบริษัทต้องเข้าใจบทบาทของตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดการตกหล่น หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน
  3. ศึกษากฎระเบียบอยู่เสมอ: พิธีการศุลกากรและภาษีของแต่ละประเทศอาจเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรติดตามข่าวสารในวงการโลจิสติกส์ เช่น เว็บไซต์กรมศุลกากร หรือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  4. ขยายเครือข่าย: รู้จักกับคนในวงการอื่น ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เราได้ความรู้หรือคำแนะนำที่มีประโยชน์แบบทันสถานการณ์
  5. เจรจาต่อรอง: หากบริษัทมีปริมาณส่งออกสม่ำเสมอ เราอาจขอส่วนลดค่าขนส่ง หรือได้ข้อเสนอที่ดีกว่าผู้ส่งออกขนาดเล็ก

บทสรุป

การดูแล วิธีส่งออกสินค้า โดยใช้เส้นทางเรืออาจดูยุ่งยากและมีรายละเอียดมากสำหรับพนักงานมือใหม่ แต่เมื่อผมเริ่มลงมือทำจริง ๆ และได้ร่วมงานกับทีมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ก็พบว่ากุญแจสำคัญคือ การวางแผน และ ความรอบคอบ ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การศึกษาเอกสาร พิธีการศุลกากร เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือที่เหมาะสม จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้ซื้อได้อย่างปลอดภัย

หากเราทำได้ดี ไม่เพียงแต่จะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุน และส่งเสริมภาพลักษณ์ในตลาดต่างประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้เห็นว่าเรา “พร้อม” และ “มืออาชีพ” ในการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นในเส้นทางนี้ ขอให้ลองนำแนวทางและเคล็ดลับที่ผมได้แชร์มาปรับใช้ รับรองว่าการส่งออกสินค้าทางเรือจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และยังเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในเวทีการค้าระดับโลกอีกด้วยครับ!

ปรึกษาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ติดต่อ SME Shipping โทร 02 105 7777 หรือ Line: @Shipping

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง “การส่งออกสินค้า” กลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดและสร้างยอดขายที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกระหว่างประเทศไม่ได้มีแค่การบรรจุสินค้าแล้วส่งผ่านขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยกระบวนการและกฎระเบียบมากมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื้อหาต่อไปนี้จะอธิบาย ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ตั้งแต่การวางแผนเบื้องต้น จนถึงการประเมินผลหลังสินค้าเดินทางถึงมือลูกค้า พร้อมทั้งสอดแทรกข้อควรระวังและเคล็ดลับในการเพิ่มโอกาสเติบโตในตลาดต่างประเทศ

1. การวิเคราะห์ตลาดและสินค้าที่จะส่งออก

ก้าวแรก ของผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวเข้าสู่ธุรกิจส่งออก คือ การวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหรือประเทศฝั่งยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง หรืออื่น ๆ โดยต้องคำนึงถึง:

  1. ความต้องการของตลาด: สินค้าประเภทใดที่กำลังเป็นที่ต้องการ มีเทรนด์หรือกระแสอะไรที่กำลังมาแรงในพื้นที่เป้าหมาย
  2. มาตรฐานและกฎระเบียบ: สินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภทต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพหรือได้รับใบรับรอง (Certificate) ตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้า เช่น สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป หรือสินค้าอุตสาหกรรมบางชนิด
  3. การแข่งขันในตลาด: ควรศึกษาว่าในตลาดนั้นมีสินค้าที่คล้ายคลึงกันมากน้อยแค่ไหน ใครคือผู้เล่นหลัก และคู่แข่งของคุณคือใคร

เมื่อเข้าใจทั้งสามประเด็นนี้ ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิต ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ได้อย่างตรงจุด


2. การเตรียมเอกสารและพิธีการศุลกากร

พิธีการศุลกากร เป็นส่วนสำคัญของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากผิดพลาดเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดต้นทุนและค่าปรับมหาศาล เอกสารที่จำเป็น มีดังนี้:

  1. ใบอนุญาตส่งออก (Export License): สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): ระบุข้อมูลของสินค้า ราคาต่อหน่วย จำนวน และเงื่อนไขการชำระเงิน
  3. บัญชีราคาสินค้า (Packing List): แสดงรายละเอียดของสินค้าที่บรรจุในแต่ละกล่อง/บรรจุภัณฑ์ โดยระบุขนาด น้ำหนัก และจำนวน
  4. ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin): ยืนยันว่าสินค้าได้รับการผลิตหรือผ่านกระบวนการเพียงพอในประเทศต้นทาง (Thailand)
  5. เอกสารประกันภัยสินค้า (ถ้ามี): บางครั้งผู้นำเข้าอาจต้องการหลักฐานว่ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายหรือสูญหาย

เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ต้องทำการยื่นเอกสารผ่านระบบศุลกากร (ปัจจุบันมีการให้บริการยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) และชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง การตรวจสอบข้อมูลในเอกสารจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบ


3. การเลือกวิธีขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ใน ขั้นตอนการส่งออกสินค้า การเลือกระบบขนส่งมีบทบาทสำคัญต่อเวลาจัดส่งและต้นทุน โดยหลัก ๆ มี 3 วิธี ดังนี้:

  1. ขนส่งทางเรือ (Sea Freight)
    • ข้อดี: ต้นทุนถูก เหมาะกับสินค้าจำนวนมาก น้ำหนักมาก หรือต้องการขนส่งระยะไกลที่สามารถใช้เวลาพอสมควร
    • ข้อจำกัด: ใช้เวลานาน อาจมีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศ
  2. ขนส่งทางอากาศ (Air Freight)
    • ข้อดี: รวดเร็ว เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความสดใหม่หรือมีมูลค่าสูง
    • ข้อจำกัด: ค่าขนส่งแพงกว่า จึงเหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักเบา
  3. ขนส่งทางบก (Land Transport)
    • ข้อดี: เหมาะกับการขนส่งในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อาเซียน หรือประเทศเพื่อนบ้าน
    • ข้อจำกัด: มักขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ด่านชายแดน และกฎระเบียบทางภาครัฐ

นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบอัตราค่าขนส่งเงื่อนไขของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือ ช่วงระยะเวลาในการจัดส่ง และบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การติดตามสินค้าผ่านระบบออนไลน์


4. การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

เมื่อสินค้าเดินทางไปยังตลาดต่างประเทศ ความเสี่ยงด้านความเสียหายหรือสูญหายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศ ทะเล หรือแม้แต่กระบวนการขนถ่ายสินค้าในท่าเรือและสนามบิน ดังนั้น การทำประกันภัยสินค้า ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการส่งออก โดยมีระดับความคุ้มครองหลายแบบ เช่น

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายแทบทุกกรณี ยกเว้นที่ระบุไว้ในเงื่อนไข
  • Free From Particular Average (FPA): คุ้มครองความเสียหายครั้งใหญ่ เช่น เรือล่ม แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายเล็กน้อย
  • Institute Cargo Clauses: เงื่อนไขประกันภัยสากลที่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ

ผู้ส่งออกควรเลือกประกันภัยตามลักษณะของสินค้าและระดับความเสี่ยง หากสินค้ามีมูลค่าสูง เช่น เครื่องจักร อัญมณี หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจคุ้มค่าที่จะทำประกันในระดับ All Risks


5. การกำหนดเงื่อนไขการขายและการชำระเงิน (Incoterms)

เงื่อนไขการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Incoterms (International Commercial Terms) เป็นข้อตกลงที่ใช้กันทั่วโลก กำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อว่าฝ่ายใดเป็นผู้จัดการขนส่ง จ่ายค่าภาษี หรือรับความเสี่ยงหากสินค้าเสียหาย ยกตัวอย่าง Incoterms ที่พบบ่อย:

  1. EXW (Ex Works): ผู้ขายมีหน้าที่แค่เตรียมสินค้าให้พร้อมในสถานที่กำหนด ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบขนส่งและค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  2. FOB (Free on Board): ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าขึ้นเรือหรือยานพาหนะที่ท่าเรือ/ท่าอากาศยานที่กำหนด ผู้ซื้อรับผิดชอบความเสี่ยงหลังจากนั้น
  3. CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายรับผิดชอบค่าสินค้า ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย จนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงเรื่องความเสียหายของสินค้าหลังขึ้นเรือเป็นของผู้ซื้อ
  4. DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีนำเข้า จนถึงปลายทางตามตกลง

การเลือกใช้ Incoterms ที่ถูกต้องจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและลดการขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง


6. การจัดการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

กฎหมายและระเบียบการส่งออก ของแต่ละประเทศแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบ ต้นทุนและภาษีในการส่งออก อย่างรอบคอบ เช่น

  • ภาษีส่งออก (Export Tax): แม้จะไม่พบบ่อยนัก แต่บางประเทศอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าบางประเภทรวมถึงประเทศไทยในบางกรณี
  • ภาษีนำเข้า (Import Duty): ผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าอาจต้องชำระตามกฎหมายของประเทศปลายทาง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST): ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจของประเทศปลายทาง
  • ค่าใช้จ่ายท่าเรือ/สนามบิน: ค่าธรรมเนียมท่าเรือ ท่าบรรทุกสินค้า ค่าจัดการเอกสารต่าง ๆ

การประสานงานกับบริษัทชิปปิ้ง (Shipping) หรือบริษัทโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศเป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสผิดพลาดและทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน


7. การตลาดและการสร้างเครือข่ายในตลาดต่างประเทศ

เมื่อสินค้าเดินทางไปถึงต่างแดน สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำต่อไปคือ การตลาดในตลาดต่างประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ สินค้าคุณภาพดีแค่ไหน หากไม่มีการโปรโมต ก็ยากที่จะสร้างยอดขายอย่างที่คาดหวัง วิธีการหลัก ๆ ได้แก่:

  1. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (Trade Fair): โอกาสในการสร้างเครือข่าย พบปะผู้ซื้อ ปิดดีลธุรกิจ และสำรวจแนวโน้มตลาด
  2. การตลาดออนไลน์: ใช้โซเชียลมีเดีย เครือข่าย E-commerce เพื่อเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้รวดเร็ว
  3. ตัวแทนจำหน่ายหรือพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น: การมีตัวแทนท้องถิ่นช่วยเจาะตลาดและวางกลยุทธ์การขายได้ตรงใจผู้บริโภค

8. การติดตามและประเมินผลหลังการส่งออก

เมื่อสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว อย่าลืม ติดตามผล ว่าสินค้าถึงเวลาและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ หากเกิดความเสียหาย ควรติดต่อบริษัทขนส่งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเรียกค่าสินไหมชดเชยตามประกันที่ทำไว้

นอกจากนี้ การประเมินผล การส่งออกยังครอบคลุมถึง

  • ต้นทุนที่เกิดขึ้นเทียบกับรายได้: วิเคราะห์ว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงและเวลาในการจัดการหรือไม่
  • ความพึงพอใจของลูกค้า: การขอ Feedback หรือรีวิวช่วยให้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไรในการส่งออกครั้งถัดไป
  • โอกาสขยายตลาดในอนาคต: หากตลาดนี้มีศักยภาพสูงและการแข่งขันไม่รุนแรงจนเกินไป การวางแผนขยายกำลังการผลิตหรือการส่งออกก็เป็นก้าวถัดไปที่น่าสนใจ

9. การบริหารความเสี่ยงในธุรกิจส่งออก

ธุรกิจส่งออกมีความเสี่ยงหลายด้าน ตั้งแต่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในตลาดเป้าหมาย เคล็ดลับในการบริหารความเสี่ยง ได้แก่:

  1. ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ทำสัญญาซื้อ-ขายเงินตราล่วงหน้า (Forward Contract) หรือใช้เครื่องมือการเงินอื่น ๆ เพื่อป้องกันความผันผวน
  2. กระจายตลาด: อย่าพึ่งพาตลาดเดียว ควรขยายไปยังหลาย ๆ ประเทศ เพื่อไม่ให้ยอดขายตกลงอย่างหนักในกรณีตลาดหลักชะลอตัว
  3. อัปเดตกฎหมายและแนวโน้มโลก: กฎหมายระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงสภาพการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ จึงควรติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

10. เคล็ดลับเพื่อความสำเร็จระยะยาว

  1. ลงทุนด้านคุณภาพ: สินค้าที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากลย่อมได้เปรียบในการส่งออก
  2. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: ลูกค้าต่างประเทศมักให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ การสร้างแบรนด์ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า
  3. หาโอกาสในโลกดิจิทัล: E-commerce แพลตฟอร์มระหว่างประเทศ หรือ Marketplaces อย่าง Alibaba, Amazon Global สามารถลดต้นทุนการตลาดและเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
  4. ฝึกอบรมทีมงาน: ทีมงานที่เข้าใจกระบวนการส่งออกและมีทักษะเจรจาต่อรอง รวมถึงภาษาอังกฤษ (หรือภาษาท้องถิ่นของตลาดเป้าหมาย) จะช่วยลดความผิดพลาดและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้บริษัท

สรุป

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า นั้นมีรายละเอียดหลากหลาย ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการเอกสาร พิธีการศุลกากร การขนส่งระหว่างประเทศ การประกันภัยสินค้า และการบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศจำเป็นต้องศึกษาและวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

อย่างไรก็ดี การส่งออกยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ การต่อยอดธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับคู่ค้าที่หลากหลายในระดับสากลเป็นสิ่งที่อาจทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ หากผู้ประกอบการมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น พัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ก็สามารถดำเนินธุรกิจ ส่งออกระหว่างประเทศ ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการที่กำลังสนใจการค้าระหว่างประเทศได้เข้าใจภาพรวมของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม หากมีการติดตามเทรนด์ตลาด และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ ปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการอย่างไม่หยุดนิ่ง ความสำเร็จในตลาดโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • การหาข้อมูลเพิ่มจากหน่วยงานสนับสนุนการส่งออก เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
  • หากยังไม่มั่นใจในกระบวนการ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้บริการบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการส่งออกโดยเฉพาะ
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) และนโยบายภาษีต่าง ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ หรือสร้างเงื่อนไขใหม่ ๆ ในการส่งออก

การส่งออกเป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกกว้างที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย แต่หากผู้ประกอบการพร้อมเต็มที่ทุกขั้นตอน ย่อมมีแนวโน้มประสบความสำเร็จและเติบโตได้ไกลในตลาดสากล

การส่งอาหารไปอเมริกา: ทำไมพัสดุบางชิ้นผ่านได้ บางชิ้นไม่ได้  

เหตุผลที่พัสดุขนาดเล็กบางครั้งส่งอาหารเข้าอเมริกา ได้ และบางครั้งไม่ได้ 

อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและไม่ได้มีเพียงเหตุเดียว เช่น: 

ความแตกต่างในกฎระเบียบของผู้ให้บริการ (Carrier Policy) และเส้นทางการขนส่ง 

  • ผู้ให้บริการ (DHL, FedEx, UPS หรือไปรษณีย์) อาจใช้เส้นทางหรือจุดตรวจศุลกากรที่แตกต่างกัน ทำให้การตีความกฎระเบียบและการตรวจสอบไม่เหมือนกัน 
  • บริษัทขนส่งบางแห่งมี “รายชื่อสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ” ไม่เหมือนกัน จึงเกิดกรณีที่ผู้ให้บริการรายหนึ่งส่งได้ แต่อีกรายส่งไม่ได้ 

ความเข้มงวดของศุลกากรและหน่วยงานกำกับดูแลในอเมริกา (เช่น FDA) 

  • อเมริกา มีกฎหมายควบคุมการนำเข้าอาหารค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือความปลอดภัยอาหาร 
  • พัสดุขนาดเล็กอาจได้รับการตรวจคัดกรองแบบสุ่ม (Random Check) บางชิ้น “อาจหลุด” ผ่านไปได้ ในขณะที่บางชิ้นถูกสุ่มตรวจพบและถูกระงับหรือตีกลับ 

การสำแดงสินค้า (Declaration) และเอกสารประกอบ 

  • หากในการกรอกเอกสารส่งออก/นำเข้า (Customs Declaration) หรือเอกสารด้านอาหาร (เช่น Certificate of Origin, ใบอนุญาตนำเข้าอาหาร) ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามเงื่อนไข อาจทำให้สินค้าถูกปฏิเสธ 
  • การระบุรายการสินค้าอย่างชัดเจนและถูกต้อง (เช่น “Dried Fruit” หรือ “Instant Snack”) อาจช่วยให้การผ่านศุลกากรง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการเขียนไม่ชัดเจน (เช่น “Food” เฉย ๆ) 

กฎหมายนำเข้าสินค้าสำหรับบุคคลทั่วไป vs. เชิงพาณิชย์ 

  • ถ้าเป็นการส่งแบบ “ของขวัญ” หรือ “สั่งซื้อส่วนตัว” (Personal Use) ในปริมาณน้อย บางทีเจ้าหน้าที่จะผ่อนปรนมากกว่าการนำเข้าเชิงพาณิชย์ที่ต้องขออนุญาตเฉพาะ 
  • แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหารที่ส่งและด่านตรวจที่รับผิดชอบด้วย 

ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (Officer Discretion) 

  • แม้จะใช้เอกสารเดียวกัน ส่งสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ด่านศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่คนละคนอาจให้คำวินิจฉัยที่ต่างกันได้ 

ปรึกษาเรื่องการส่งสินค้าไปที่อเมริกา อย่าลืมติดต่อมาที่ SME Shipping โทร 021057777 หรือ ไลน์ @shipping

6 ปัจจัยเรื่องค่าขนส่งที่ผู้ประกอบการควรทราบ | SME Shipping

6 ปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ผู้ประกอบการควรรู้

ค่าขนส่งระหว่างประเทศถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ประกอบการ หรือคนที่ทำธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งมีผลต่อราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดโลก เพราะปัจจุบันไม่ได้มีเพียงขนส่งเจ้าเดียวที่ให้บริการ แต่มีหลากหลายเจ้าที่พร้อมทำการตลาดและบริการที่ดีเพื่อตอบสนองต่อผู้ประกอบการอยู่เสมอ ซึ่งค่าขนส่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทของสินค้า วิธีการขนส่ง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ และเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งและสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ โดยบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของปัจจัยทั้ง 6 ข้อที่มีบทบาทสำคัญต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ควรรู้กัน

1. ระยะทางและเส้นทางขนส่ง

ระยะทางเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง ยิ่งปลายทางอยู่ไกล ค่าขนส่งก็จะสูงขึ้น และหากเส้นทางขนส่งที่ต้องผ่านหลายประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าผ่านทางหรือค่าประกันสินค้า เส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือเส้นทางที่ถนนไม่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งอาจทำให้ต้องเสียค่าประกันภัยเพิ่มขึ้น

2. ประเภทของสินค้า

ลักษณะของสินค้ามีผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เพราะสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร หรือสินค้าก่อสร้าง ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง มีการห่อหุ้มที่แน่นหนามากขึ้นตามน้ำหนักจะมีค่าขนส่งสูงกว่าสินค้าที่มีขนาดเล็กและเบา นอกจากนี้ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (สินค้าแช่แข็ง) สินค้าอันตราย (เช่น สารเคมี) หรือสินค้ามีมูลค่าสูง (เช่น เครื่องเพชร) มักมีค่าขนส่งแพงขึ้นเนื่องจากต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

3. วิธีการขนส่ง (Shipping Mode)

วิธีการขนส่งมีผลต่อระยะเวลาการจัดส่งและต้นทุนโดยรวม แม้ว่าการขนส่งทางอากาศแม้จะรวดเร็ว แต่ก็มีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือ ขณะที่การขนส่งทางเรือมีต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า ส่วนการขนส่งทางรถไฟหรือทางถนนเหมาะกับการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การขนส่งจากไทยไปลาว มาเลเซีย หรือจีน

4. ภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร

ภาษีนำเข้าสินค้า ภาษาษีขนส่ง และค่าธรรมเนียมศุลกากรของแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบและอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อค่าขนส่ง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าธรรมเนียมศุลกากร ค่าบริการตรวจสอบสินค้า และค่าเอกสารต่างๆ หากผู้ประกอบการไม่ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทางให้ดี อาจต้องเสียค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งออกต่างประเทศ ผู้ประกอบการต้องศึกษาเรื่องภาษีนำเข้าให้ละเอียกและรอบคอบทุกครั้ง

5. อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนน้ำมัน

ค่าขนส่งระหว่างประเทศมักกำหนดเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น หากค่าเงินผันผวนอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดได้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เนื่องจากเป็นต้นทุนหลักของสายการบิน สายเรือ และรถบรรทุก เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น สายการขนส่งมักปรับค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงขึ้นตามไปด้วย

6. ฤดูกาลและสภาวะตลาด

ฤดูกาลและสภาวะตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง เพราะช่วงเวลาที่มีความต้องการขนส่งสูง เช่น ช่วงเทศกาล ช่วงปลายปี หรือช่วงก่อนเปิดเทอม มักทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการใช้บริการสูง นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง เช่น ภัยธรรมชาติ การประท้วง หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การทำธุรกิจระหว่างประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง ไม่เพียงแต่เรื่องระยะทางและวิธีการขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาต้นทุนแฝงอื่นๆ เช่น ภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และสภาวะตลาด การวางแผนและบริหารต้นทุนค่าขนส่งอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้

โลจิสติกส์สีเขียว กับความสำคัญต่อธุรกิจ | SME Shipping

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญ

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจกับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการขนส่งและซัพพลายเชน นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักว่าโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไรและช่วยธุรกิจได้อย่างไรในปัจจุบัน

Green Logistics คืออะไร?

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เป็นแนวทางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่เน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในทุกกระบวนการโลจิสติกส์ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง การกระจายสินค้า ไปจนถึงการบริหารซัพพลายเชนทั้งหมด

ผู้ประกอบการ SME ต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังไง?

ผู้ประกอบการ SME จำเป็นต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวเพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเติบโตคสบคู่ไปกับโลกยุคปัจจุบัน ดังนี้

  1. แนวโน้มตลาดและความต้องการของลูกค้า: ปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. ข้อกำหนดและกฎหมาย: หลายประเทศออกกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า
  3. การลดต้นทุนในระยะยาว: การใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางขนส่ง และการลดของเสียสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้
  4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: ธุรกิจที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น

ประโยชน์ของ Green Logistics

การนำแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียวมาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรรวมทั้งข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการ SME ควรรู้ ได้แก่

  1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน: การใช้พลังงานสะอาดและระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเชื้อเพลิง
  2. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมาย: ลดความเสี่ยงในการถูกปรับหรือถูกจำกัดการทำธุรกิจจากข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม
  5. ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร: แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า

โลจิสติกส์สีเขียวจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และไม่ใช่เพียงแนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในระยะยาว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นอกจากนี้ การปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวคิดเดียวกัน ดังนั้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์สีเขียวจะสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ในระยะยาวได้อีกด้วย

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศ | SME Shipping

สินค้าขนาดใหญ่ ส่งไปต่างประเทศอย่างไรให้คุ้มต้นทุนที่สุด

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น ค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า วิธีการจัดส่ง และการบรรจุภัณฑ์ หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจทำให้ต้นทุนสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การส่งสินค้าคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม ใช้บริษัทโลจิสติกส์ที่มีราคาประหยัด หรือการลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์  ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าที่สุด

1.เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสมช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ การเลือกส่งสินค้าให้คุ้มต้นทุนที่สุดจึงควรพิจารณาความเร็ว ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดของแต่ละช่องทาง ดังนี้

     1.1 ส่งทางเรือ (Sea Freight): เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่และหนัก มีต้นทุนต่ำกว่าทางอากาศ แต่ใช้เวลานาน (2-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปลายทาง)

  • FCL (Full Container Load): เช่าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้ คุ้มค่าสำหรับสินค้าปริมาณมาก
  • LCL (Less than Container Load): แชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ เหมาะสำหรับสินค้าจำนวนน้อยที่ไม่เต็มตู้

     1.2 ส่งทางอากาศ (Air Freight): เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว แต่มีต้นทุนสูง เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงและน้ำหนักเบา

     1.3 ส่งทางรถบรรทุกหรือรถไฟ (Rail/Road Freight): ใช้ได้กับบางประเทศ เช่น ในเอเชียหรือยุโรป ค่าขนส่งต่ำกว่าทางอากาศและเร็วกว่าทางเรือ

2. ใช้บริษัทขนส่งที่ให้บริการครบวงจร

การเลือกบริษัทโลจิสติกส์ที่มีบริการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้า แพ็กกิ้ง ไปจนถึงการจัดการศุลกากร เพื่อความสะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดส่ง ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทขนส่งที่ครอบคลุมทุกบริการทั้งในและต่างประเทศ เช่น

  • DHL Express: ให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ โดยรองรับน้ำหนักสูงสุด 1,000 กิโลกรัมต่อชิ้น และน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,000 กิโลกรัมต่อการจัดส่ง ขนาดสูงสุดต่อชิ้นคือ ความยาว 300 ซม. และความกว้าง 200 ซม. ​
  • TNT Express: มีบริการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุที่มีขนาดเกินมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่เลือก ​
  •  LIDI Express: ให้บริการส่งของไปต่างประเทศสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ของใช้ส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์ และการย้ายบ้าน พร้อมบริการเข้ารับถึงที่ทั่วประเทศ และส่งตรงถึงหน้าบ้านปลายทาง ​
  •  SME SHIPPING: เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ไปยังต่างประเทศทั่วโลก เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ารายย่อยทั่วไป ​
  • Fast Ship: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปกับบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ผ่านบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ เช่น FedEx, Aramex, UPS ​

3.  คำนึงถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุขนาดใหญ่

การส่งพัสดุที่มีขนาดหรือความยาวเกินมาตรฐานอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น พัสดุที่มีความยาวเกิน 100 เซนติเมตร อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพื้นที่จัดเก็บ ค่าขนย้ายพิเศษ หรือค่าธรรมเนียมการส่งด่วน ดังนั้น ก่อนทำการส่งสินค้าจึงควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากขึ้นและอาจต้องใช้พาหนะพิเศษในการขนส่ง

4. การแพ็กสินค้าที่เหมาะสม

การแพ็กสินค้าควรทำอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการกระแทกและความเสียหายระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่บอบบาง ควรห่อด้วยวัสดุป้องกันการกระแทกหลายชั้น และปิดผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อย ​ลดต้นทุนค่าขนส่ง ควรเลือกวัสดุที่แข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดค่าใช้จ่าย

5. ศึกษาภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมปลายทาง

ในแต่ละประเทศมีกฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน การศึกษาและเตรียมเอกสารให้ถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศอย่าลืมตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ให้เรียบร้อย

  • ตรวจสอบพิกัดศุลกากร (HS Code) และอัตราภาษีของประเทศปลายทาง
  • ใช้เงื่อนไข DDP (Delivered Duty Paid) หรือ DAP (Delivered at Place) ตามข้อตกลงกับลูกค้า เพื่อลดต้นทุนรวม

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าต้นทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด น้ำหนัก ปลายทาง และระยะเวลาที่ต้องการให้สินค้าถึงที่หมาย ดังนั้น การเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมและการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นไปอย่างคุ้มค่า ปลอดภัย และคุ้มต้นทุนที่สุดนั่นเอง 

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศ | SME Shipping

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

ขายของใน Marketplace ใดขายดีที่สุด | SME Shipping

ขายของใน Marketplace คืออะไร? Marketplace ใดดีที่สุด?

 เริ่มต้นขายของใน Marketplace ควรเริ่มจากตรงไหนดี? ก่อนอื่นคุณจะต้องทำความรู้จักกับ Marketplace ก่อนว่ามันคืออะไร  และแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นหรือข้อดีแตกต่างกันยังไง บางที่เหมาะกับสินค้าทั่วไป บางที่เหมาะกับของแฮนด์เมด หรือของนำเข้า การเข้าใจแพลตฟอร์มที่เลือกใช้จะช่วยให้คุณขายได้ง่ายขึ้น เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่ม และใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อรู้พื้นฐานแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งแต่การเลือกสินค้า การตั้งราคา ไปจนถึงการโปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับ Marketplace ให้มากขึ้นว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับตลาดไหนมากที่สุด

Marketplace คืออะไร?

Marketplace คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น Marketplace ก็คือตลาดนัดออนไลน์ขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง และผู้ขายก็สามารถลงประกาศขายสินค้า ตั้งราคาขาย และติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรง ผู้ซื้อเองก็สามารถเลือกชม เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกขึ้น โดย Marketplace จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. C2C (Consumer to Consumer): เป็นแพลตฟอร์มที่บุคคลทั่วไปสามารถขายสินค้าให้กับบุคคลอื่นได้ เช่น Facebook Marketplace, Kaidee, Shopee (หมวดสินค้ามือสอง)
  2.  B2C (Business to Consumer): เป็นแพลตฟอร์มที่ธุรกิจขายสินค้าให้กับลูกค้าทั่วไป เช่น Lazada, Shopee, JD Central, Amazon
  3. B2B (Business to Business): เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการซื้อขายระหว่างธุรกิจ เช่น Alibaba, ThaiTrade

Marketplace ใดดีที่สุด?

การเลือก Marketplace เพื่อวางขายสินค้าแล้วถามว่าตลาดไหนดีที่สุด?  ในแต่ละตลาดจะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทสินค้า กลุ่มเป้าหมาย ค่าธรรมเนียมการขาย และระบบสนับสนุนผู้ขาย โดยในปี 2025 นี้มี Marketplace ที่ได้รับความนิยมและเหมาะสมสำหรับการขายสินค้าในแต่ละกลุ่ม ดังนี้

  1. Facebook ตลาดออนไลน์ที่เหมาะสำหรับขายสินค้ามือสอง ของใช้ทั่วไป และสินค้าในท้องถิ่น ไม่เสียค่าธรรมเนียม
  2. Shopee แพลตฟอร์มตลาดที่เหมาะกับสินค้าหลากหลายประเภท มีระบบสนับสนุนการชำระเงินและจัดส่งสินค้า มีโปรโมชันดึงดูดลูกค้า
  3. Lazada แพลตฟอร์มตลาดที่เหมาะกับสินค้าประเภทอีคอมเมิร์ซ แบรนด์แท้ มีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
  4. JD Central ตลาดออนไลน์ที่เหมาะกับสินค้าไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า และแบรนด์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
  5. TikTok Shop แพลตฟอร์มที่เหมาะกับสินค้าที่สามารถโปรโมตผ่านคอนเทนต์วิดีโอ มีแนวโน้มเติบโตสูงเพราะเข้าถึงคนดูได้อย่างรวดเร็วผ่านการ Live สด
  6. Amazon & eBay แพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติมากกว่าคนในประเทศ และเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้น

เปรียบเทียบ Marketplace ยอดนิยมในปี 2025

Marketplaceจุดเด่นเหมาะกับสินค้าข้อจำกัด
Facebookใช้งานฟรี, เหมาะกับของมือสองของมือสอง, ของใช้ทั่วไปไม่มีระบบจัดส่ง, การมองเห็นโพสต์ไม่แน่นอน
Shopeeฐานลูกค้าขนาดใหญ่, รองรับ COD(บริการเก็บเงินปลายทาง)สินค้าทั่วไป, อีคอมเมิร์ซค่าธรรมเนียมขาย, แข่งขันสูง
Lazadaระบบร้านค้าดี, Fulfillmentอิเล็กทรอนิกส์, ของใช้ในบ้านค่าธรรมเนียมสูง, ต้องทำการตลาด
TikTok Shopขายผ่านวิดีโอ, ไลฟ์สดเครื่องสำอาง, เสื้อผ้าต้องผลิตคอนเทนต์, อัลกอริธึมเปลี่ยนแปลงบ่อย
Amazonตลาดสากล, Fulfillmentแบรนด์ที่ต้องการขายต่างประเทศค่าธรรมเนียมสูง, การแข่งขันสูง
eBayขายทั่วโลก, เหมาะกับของสะสมของสะสม, สินค้าหายากต้องตั้งค่าระบบการขายให้ดี

วิธีเลือก Marketplace ให้เหมาะกับสินค้า

  • หากต้องการ ขายของมือสองหรือสินค้าในท้องถิ่น → Facebook Marketplace, Kaidee
  • หากต้องการ ขายสินค้าใหม่ในตลาดทั่วไป → Shopee, Lazada
  • หากต้องการ ใช้วิดีโอและไลฟ์สดในการขาย → TikTok Shop
  • หากต้องการ ขายสินค้าให้ลูกค้าต่างประเทศ → Amazon, eBay
  • หากต้องการ ขายสินค้าแบรนด์แท้หรือพรีเมียม → JD Central

ในปี 2025 Shopee, Lazada และ TikTok Shop ยังคงเป็น Marketplace ยอดนิยมในไทย ส่วน Amazon และ eBay เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ Facebook Marketplace เหมาะสำหรับการขายสินค้าทั่วไปโดยไม่มีค่าธรรมเนียม ดังนั้นก่อนวางขายสินค้าอย่าลืมเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะสมกับสินค้าและกลยุทธ์การขายให้ดี รวมทั้งเลือกระบบขนส่งที่ไว้ได้ใจ เพราะการจัดส่งสินค้าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขายของออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณควบคุมต้นทุนการผลิตและสร้างกำไรจากธุรกิจนั้นได้

15 สินค้ายอดนิยมสำหรับซื้อขายออนไลน์ | SME Shipping

เริ่มต้นลงทุน ขายของออนไลน์อะไรดี พบกับ 15 อันดับสินค้ายอดนิยม

ในยุคดิจิทัลที่การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การลงทุนขายของออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำและโอกาสเติบโตสูง แต่การเลือกสินค้าที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ หากคุณกำลังมองหาไอเดียสำหรับสินค้าขายดี วันนี้ SME Shipping ได้รวบรวม 15 อันดับสินค้ายอดนิยมที่มีแนวโน้มมาแรง สินค้ายอดนิยมสำหรับคนที่กำลังมองหาว่าจะขาย ออนไลน์ อะไร ดี ในปี 2025 เพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นใจและตรงจุด

สินค้ายอดนิยมที่มียอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2024 จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 หมวดหลักๆ ได้แก่ 

สินค้าเพื่อความสนุกสนาน 

  • ของเล่นในน้ำ (แทรมโพลีนและของเล่นเด็ก)
  • มาลัยดอกไม้แบบฮาวาย
  • ท่อลม

สินค้าเพื่อบ้านและสวน

  • อุปกรณ์ดูแลสนามหญ้า
  • อุปกรณ์เสริมสำหรับสระว่ายน้ำ
  • เป้น้ำ

สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม

  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • ของกินเล่นหรือขนม
  • เสื้อผ้าแฟชั่น
  • สกินแคร์และเครื่องสำอาง
  • วิตามินและอาหารเสริม

สินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

  • กล่องสุ่ม Art Toy
  • เครื่องประดับ
  • ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง
  • สินค้าอุปกรณ์ในครัว

15 อันดับสินค้ายอดนิยม

การเลือกสินค้าที่ตรงกับความสนใจและความถนัดเพื่อสร้างธุรกิจออนไลน์ จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจนั้นๆ ประสบความสำเร็จ ซึ่งสินค้าแต่ละประเภทมีการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา และข้อมูลยอดขายต่อไปนี้คือสินค้าที่มีแนวโน้มขายดีที่อาจทำให้คนที่กำลังมองหาสินค้าออนไลน์ตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่ายขึ้น 

  1. ของเล่นในน้ำ

ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 376% ในช่วงหน้าร้อน สินค้าอื่นๆ เช่น แทรมโพลีนและบ้านเด็กก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

  1. มาลัยดอกไม้แบบฮาวาย

ยอดขายเพิ่มขึ้น 356% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 และมาลัยข้อเท้าก็ขายดีในช่วงเทศกาล 

  1. ท่อลม

สินค้าแห่งความบันเทิงที่มาพร้อมกับความสร้างสรรค์ในทุกกิจกรรม ยอดขายเพิ่มขึ้น 274% 

  1. อุปกรณ์ดูแลสนามหญ้า

ยอดขายเพิ่มขึ้น 234% สะท้อนถึงความสนใจในการทำสวนและกิจกรรมกลางแจ้ง

  1. อุปกรณ์เสริมสำหรับสระว่ายน้ำ

สินค้าสุดฮิตที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาไม่ว่าจะเป็นห่วงยาง, ลูกบอลน้ำ หรือไฟใต้น้ำด้วยยอดขายเพิ่มขึ้น 220% ส่วนยอดขายสระว่ายน้ำเพิ่มขึ้น 156% 

  1. เป้น้ำ

ยอดขายเพิ่มขึ้น 215% สินค้าในกลุ่มกีฬาที่กำลังมาแรงยังรวมถึงสินค้าสำหรับเชียร์ลีดเดอร์และวอลเลย์บอล 

  1. อาหารและเครื่องดื่ม

คนไทยยังคงนิยมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มหวานๆ หลังมื้ออาหาร ตลาดนี้มีการแข่งขันสูง แต่ยังมีโอกาสสำหรับผู้เริ่มต้น 

  1. ของกินเล่นหรือขนม

ขนมแปลกๆ หรือของกินเล่นได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok 

  1. เสื้อผ้าแฟชั่น

เทรนด์การแต่งตัวมีการอัปเดตอยู่เสมอ เสื้อผ้าสไตล์เกาหลีหรือวินเทจยังคงขายดี 

  1. สกินแคร์และเครื่องสำอาง

ผู้คนหันมาดูแลผิวพรรณมากขึ้น สินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความนิยม 

  1. กล่องสุ่ม Art Toy

กระแสกล่องสุ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักสะสม 

  1. เครื่องประดับ

สินค้ากลุ่มนี้เป็นที่ต้องการ เนื่องจากสามารถเพิ่มลูกเล่นให้กับการแต่งตัว 

  1. วิตามินและอาหารเสริม

ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้สินค้ากลุ่มนี้ขายดี 

  1. ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง

สินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารคุณภาพสูง ทรายแมวจากธรรมชาติ และแชมพูออร์แกนิก ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น 

  1. สินค้าอุปกรณ์ในครัว

อุปกรณ์ทำอาหารและจัดเก็บในครัว เช่น หม้อทอดไร้น้ำมัน และเครื่องปั่นผลไม้แบบพกพา เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาไอเดียเริ่มต้นขายของออนไลน์ในปี 2025 สินค้ายอดนิยมเหล่านี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นของเล่นในน้ำ สกินแคร์และเครื่องสำอาง กล่องสุ่ม Art Toy หรืออาหารและขนมที่แปลกใหม่ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกระแสตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน การเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและการสร้างจุดเด่นให้แตกต่างจากคู่แข่งจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนออนไลน์ได้

วิธีเลือกพาร์ทเนอร์ด้านการขนส่งสำหรับ SME | SME Shipping

ธุรกิจเติบโตด้วยการขนส่ง วิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME

การขนส่งสินค้าเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME เติบโตและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ซึ่งการเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรพิจารณาในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ของผู้ให้บริการ ระบบขนส่งออนไลน์ติดตามสินค้าได้ตลอดเวลา และความยืดหยุ่นของบริการ เช่น การจัดส่งด่วน การเก็บเงินปลายทาง และการติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ การเปรียบเทียบต้นทุน การรับประกันความเสียหาย และการสนับสนุนลูกค้าที่ดีต่างเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลาและคุ้มค่า โดยวันนี้เราจะมานำ SME Shipping หนึ่งในพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME ทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลางโดยเฉพาะ

SME Shipping ดียังไง?

SME Shipping คือบริการขนส่งที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) เพื่อช่วยให้การขนส่งออนไลน์มีความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่ามากขึ้นเหมาะกับความต้องการของธุรกิจ เช่น การจัดส่งแบบเก็บเงินปลายทาง (COD) การจัดส่งด่วนภายในวันเดียว และระบบติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ SME Shipping ยังมีการดูแลลูกค้าตลอดการขนส่งออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ผู้ขาย สามารถส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา

วิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจ SME

การเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสะดวก สร้างความมั่นใจให้ลูกค้า และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจ SME เพื่อให้ตอบโจทย์ในด้านต่าง ๆ ของการขายสินค้า มีดังนี้

  1. มีความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ในการขนส่งสินค้าที่สามารถตรวจสอบรีวิวหรือความเห็นจากธุรกิจอื่นได้ เพื่อให้มั่นใจว่าพัสดุจะถูกส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัย
  2. มีบริการครอบคลุม เช่น การขนส่งด่วน บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) หรือการจัดส่งระหว่างประเทศ รวมถึงความยืดหยุ่นในการจัดการตามความต้องการของธุรกิจ
  3. ลองเปรียบเทียบต้นทุนการขนส่งระหว่างผู้ให้บริการหลายราย เพื่อให้ได้ต้นทุนการขนส่งออนไลน์ที่เหมาะสมโดยไม่ลดคุณภาพการบริการ
  4. มีระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ เพื่อให้คุณและลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้อย่างสะดวก
  5. มีบริการลูกค้าที่ตอบสนองรวดเร็ว เช่น ช่องทางติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือแชทที่พร้อมช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
  6. สามารถจัดการปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชัน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าทันเวลา
  7. มีเงื่อนไขในการรับประกันสินค้าในกรณีสูญหายหรือเสียหายระหว่างการขนส่ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจ

การเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ SME จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นการเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมต่อการขายสินค้า และการขนส่งออนไลน์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นทุกประเภท