6 ปัจจัยเรื่องค่าขนส่งที่ผู้ประกอบการควรทราบ | SME Shipping

6 ปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ผู้ประกอบการควรรู้

ค่าขนส่งระหว่างประเทศถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ประกอบการ หรือคนที่ทำธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งมีผลต่อราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดโลก เพราะปัจจุบันไม่ได้มีเพียงขนส่งเจ้าเดียวที่ให้บริการ แต่มีหลากหลายเจ้าที่พร้อมทำการตลาดและบริการที่ดีเพื่อตอบสนองต่อผู้ประกอบการอยู่เสมอ ซึ่งค่าขนส่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทของสินค้า วิธีการขนส่ง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ และเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งและสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ โดยบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของปัจจัยทั้ง 6 ข้อที่มีบทบาทสำคัญต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ควรรู้กัน

1. ระยะทางและเส้นทางขนส่ง

ระยะทางเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง ยิ่งปลายทางอยู่ไกล ค่าขนส่งก็จะสูงขึ้น และหากเส้นทางขนส่งที่ต้องผ่านหลายประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าผ่านทางหรือค่าประกันสินค้า เส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือเส้นทางที่ถนนไม่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งอาจทำให้ต้องเสียค่าประกันภัยเพิ่มขึ้น

2. ประเภทของสินค้า

ลักษณะของสินค้ามีผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เพราะสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร หรือสินค้าก่อสร้าง ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง มีการห่อหุ้มที่แน่นหนามากขึ้นตามน้ำหนักจะมีค่าขนส่งสูงกว่าสินค้าที่มีขนาดเล็กและเบา นอกจากนี้ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (สินค้าแช่แข็ง) สินค้าอันตราย (เช่น สารเคมี) หรือสินค้ามีมูลค่าสูง (เช่น เครื่องเพชร) มักมีค่าขนส่งแพงขึ้นเนื่องจากต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

3. วิธีการขนส่ง (Shipping Mode)

วิธีการขนส่งมีผลต่อระยะเวลาการจัดส่งและต้นทุนโดยรวม แม้ว่าการขนส่งทางอากาศแม้จะรวดเร็ว แต่ก็มีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือ ขณะที่การขนส่งทางเรือมีต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า ส่วนการขนส่งทางรถไฟหรือทางถนนเหมาะกับการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การขนส่งจากไทยไปลาว มาเลเซีย หรือจีน

4. ภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร

ภาษีนำเข้าสินค้า ภาษาษีขนส่ง และค่าธรรมเนียมศุลกากรของแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบและอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อค่าขนส่ง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าธรรมเนียมศุลกากร ค่าบริการตรวจสอบสินค้า และค่าเอกสารต่างๆ หากผู้ประกอบการไม่ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทางให้ดี อาจต้องเสียค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งออกต่างประเทศ ผู้ประกอบการต้องศึกษาเรื่องภาษีนำเข้าให้ละเอียกและรอบคอบทุกครั้ง

5. อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนน้ำมัน

ค่าขนส่งระหว่างประเทศมักกำหนดเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น หากค่าเงินผันผวนอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดได้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เนื่องจากเป็นต้นทุนหลักของสายการบิน สายเรือ และรถบรรทุก เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น สายการขนส่งมักปรับค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงขึ้นตามไปด้วย

6. ฤดูกาลและสภาวะตลาด

ฤดูกาลและสภาวะตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง เพราะช่วงเวลาที่มีความต้องการขนส่งสูง เช่น ช่วงเทศกาล ช่วงปลายปี หรือช่วงก่อนเปิดเทอม มักทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการใช้บริการสูง นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง เช่น ภัยธรรมชาติ การประท้วง หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การทำธุรกิจระหว่างประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง ไม่เพียงแต่เรื่องระยะทางและวิธีการขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาต้นทุนแฝงอื่นๆ เช่น ภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และสภาวะตลาด การวางแผนและบริหารต้นทุนค่าขนส่งอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้

โลจิสติกส์สีเขียว กับความสำคัญต่อธุรกิจ | SME Shipping

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญ

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจกับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการขนส่งและซัพพลายเชน นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักว่าโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไรและช่วยธุรกิจได้อย่างไรในปัจจุบัน

Green Logistics คืออะไร?

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เป็นแนวทางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่เน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในทุกกระบวนการโลจิสติกส์ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง การกระจายสินค้า ไปจนถึงการบริหารซัพพลายเชนทั้งหมด

ผู้ประกอบการ SME ต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังไง?

ผู้ประกอบการ SME จำเป็นต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวเพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเติบโตคสบคู่ไปกับโลกยุคปัจจุบัน ดังนี้

  1. แนวโน้มตลาดและความต้องการของลูกค้า: ปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. ข้อกำหนดและกฎหมาย: หลายประเทศออกกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า
  3. การลดต้นทุนในระยะยาว: การใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางขนส่ง และการลดของเสียสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้
  4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: ธุรกิจที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น

ประโยชน์ของ Green Logistics

การนำแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียวมาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรรวมทั้งข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการ SME ควรรู้ ได้แก่

  1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน: การใช้พลังงานสะอาดและระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเชื้อเพลิง
  2. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมาย: ลดความเสี่ยงในการถูกปรับหรือถูกจำกัดการทำธุรกิจจากข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม
  5. ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร: แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า

โลจิสติกส์สีเขียวจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และไม่ใช่เพียงแนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในระยะยาว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นอกจากนี้ การปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวคิดเดียวกัน ดังนั้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์สีเขียวจะสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ในระยะยาวได้อีกด้วย

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศ | SME Shipping

สินค้าขนาดใหญ่ ส่งไปต่างประเทศอย่างไรให้คุ้มต้นทุนที่สุด

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น ค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า วิธีการจัดส่ง และการบรรจุภัณฑ์ หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจทำให้ต้นทุนสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การส่งสินค้าคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม ใช้บริษัทโลจิสติกส์ที่มีราคาประหยัด หรือการลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์  ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าที่สุด

1.เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสมช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ การเลือกส่งสินค้าให้คุ้มต้นทุนที่สุดจึงควรพิจารณาความเร็ว ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดของแต่ละช่องทาง ดังนี้

     1.1 ส่งทางเรือ (Sea Freight): เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่และหนัก มีต้นทุนต่ำกว่าทางอากาศ แต่ใช้เวลานาน (2-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปลายทาง)

  • FCL (Full Container Load): เช่าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้ คุ้มค่าสำหรับสินค้าปริมาณมาก
  • LCL (Less than Container Load): แชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ เหมาะสำหรับสินค้าจำนวนน้อยที่ไม่เต็มตู้

     1.2 ส่งทางอากาศ (Air Freight): เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว แต่มีต้นทุนสูง เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงและน้ำหนักเบา

     1.3 ส่งทางรถบรรทุกหรือรถไฟ (Rail/Road Freight): ใช้ได้กับบางประเทศ เช่น ในเอเชียหรือยุโรป ค่าขนส่งต่ำกว่าทางอากาศและเร็วกว่าทางเรือ

2. ใช้บริษัทขนส่งที่ให้บริการครบวงจร

การเลือกบริษัทโลจิสติกส์ที่มีบริการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้า แพ็กกิ้ง ไปจนถึงการจัดการศุลกากร เพื่อความสะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดส่ง ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทขนส่งที่ครอบคลุมทุกบริการทั้งในและต่างประเทศ เช่น

  • DHL Express: ให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ โดยรองรับน้ำหนักสูงสุด 1,000 กิโลกรัมต่อชิ้น และน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,000 กิโลกรัมต่อการจัดส่ง ขนาดสูงสุดต่อชิ้นคือ ความยาว 300 ซม. และความกว้าง 200 ซม. ​
  • TNT Express: มีบริการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุที่มีขนาดเกินมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่เลือก ​
  •  LIDI Express: ให้บริการส่งของไปต่างประเทศสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ของใช้ส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์ และการย้ายบ้าน พร้อมบริการเข้ารับถึงที่ทั่วประเทศ และส่งตรงถึงหน้าบ้านปลายทาง ​
  •  SME SHIPPING: เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ไปยังต่างประเทศทั่วโลก เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ารายย่อยทั่วไป ​
  • Fast Ship: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปกับบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ผ่านบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ เช่น FedEx, Aramex, UPS ​

3.  คำนึงถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุขนาดใหญ่

การส่งพัสดุที่มีขนาดหรือความยาวเกินมาตรฐานอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น พัสดุที่มีความยาวเกิน 100 เซนติเมตร อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพื้นที่จัดเก็บ ค่าขนย้ายพิเศษ หรือค่าธรรมเนียมการส่งด่วน ดังนั้น ก่อนทำการส่งสินค้าจึงควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากขึ้นและอาจต้องใช้พาหนะพิเศษในการขนส่ง

4. การแพ็กสินค้าที่เหมาะสม

การแพ็กสินค้าควรทำอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการกระแทกและความเสียหายระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่บอบบาง ควรห่อด้วยวัสดุป้องกันการกระแทกหลายชั้น และปิดผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อย ​ลดต้นทุนค่าขนส่ง ควรเลือกวัสดุที่แข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดค่าใช้จ่าย

5. ศึกษาภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมปลายทาง

ในแต่ละประเทศมีกฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน การศึกษาและเตรียมเอกสารให้ถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศอย่าลืมตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ให้เรียบร้อย

  • ตรวจสอบพิกัดศุลกากร (HS Code) และอัตราภาษีของประเทศปลายทาง
  • ใช้เงื่อนไข DDP (Delivered Duty Paid) หรือ DAP (Delivered at Place) ตามข้อตกลงกับลูกค้า เพื่อลดต้นทุนรวม

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าต้นทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด น้ำหนัก ปลายทาง และระยะเวลาที่ต้องการให้สินค้าถึงที่หมาย ดังนั้น การเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมและการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นไปอย่างคุ้มค่า ปลอดภัย และคุ้มต้นทุนที่สุดนั่นเอง 

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศ | SME Shipping

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

ขายของใน Marketplace ใดขายดีที่สุด | SME Shipping

ขายของใน Marketplace คืออะไร? Marketplace ใดดีที่สุด?

 เริ่มต้นขายของใน Marketplace ควรเริ่มจากตรงไหนดี? ก่อนอื่นคุณจะต้องทำความรู้จักกับ Marketplace ก่อนว่ามันคืออะไร  และแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นหรือข้อดีแตกต่างกันยังไง บางที่เหมาะกับสินค้าทั่วไป บางที่เหมาะกับของแฮนด์เมด หรือของนำเข้า การเข้าใจแพลตฟอร์มที่เลือกใช้จะช่วยให้คุณขายได้ง่ายขึ้น เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่ม และใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เมื่อรู้พื้นฐานแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการเตรียมตัวให้พร้อม ตั้งแต่การเลือกสินค้า การตั้งราคา ไปจนถึงการโปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับ Marketplace ให้มากขึ้นว่าธุรกิจของคุณเหมาะกับตลาดไหนมากที่สุด

Marketplace คืออะไร?

Marketplace คือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น Marketplace ก็คือตลาดนัดออนไลน์ขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าตลอด 24 ชั่วโมง และผู้ขายก็สามารถลงประกาศขายสินค้า ตั้งราคาขาย และติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรง ผู้ซื้อเองก็สามารถเลือกชม เปรียบเทียบราคา และสั่งซื้อสินค้าได้อย่างสะดวกขึ้น โดย Marketplace จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

  1. C2C (Consumer to Consumer): เป็นแพลตฟอร์มที่บุคคลทั่วไปสามารถขายสินค้าให้กับบุคคลอื่นได้ เช่น Facebook Marketplace, Kaidee, Shopee (หมวดสินค้ามือสอง)
  2.  B2C (Business to Consumer): เป็นแพลตฟอร์มที่ธุรกิจขายสินค้าให้กับลูกค้าทั่วไป เช่น Lazada, Shopee, JD Central, Amazon
  3. B2B (Business to Business): เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการซื้อขายระหว่างธุรกิจ เช่น Alibaba, ThaiTrade

Marketplace ใดดีที่สุด?

การเลือก Marketplace เพื่อวางขายสินค้าแล้วถามว่าตลาดไหนดีที่สุด?  ในแต่ละตลาดจะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทสินค้า กลุ่มเป้าหมาย ค่าธรรมเนียมการขาย และระบบสนับสนุนผู้ขาย โดยในปี 2025 นี้มี Marketplace ที่ได้รับความนิยมและเหมาะสมสำหรับการขายสินค้าในแต่ละกลุ่ม ดังนี้

  1. Facebook ตลาดออนไลน์ที่เหมาะสำหรับขายสินค้ามือสอง ของใช้ทั่วไป และสินค้าในท้องถิ่น ไม่เสียค่าธรรมเนียม
  2. Shopee แพลตฟอร์มตลาดที่เหมาะกับสินค้าหลากหลายประเภท มีระบบสนับสนุนการชำระเงินและจัดส่งสินค้า มีโปรโมชันดึงดูดลูกค้า
  3. Lazada แพลตฟอร์มตลาดที่เหมาะกับสินค้าประเภทอีคอมเมิร์ซ แบรนด์แท้ มีระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
  4. JD Central ตลาดออนไลน์ที่เหมาะกับสินค้าไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า และแบรนด์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
  5. TikTok Shop แพลตฟอร์มที่เหมาะกับสินค้าที่สามารถโปรโมตผ่านคอนเทนต์วิดีโอ มีแนวโน้มเติบโตสูงเพราะเข้าถึงคนดูได้อย่างรวดเร็วผ่านการ Live สด
  6. Amazon & eBay แพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าส่งออกไปต่างประเทศ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าต่างชาติมากกว่าคนในประเทศ และเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้น

เปรียบเทียบ Marketplace ยอดนิยมในปี 2025

Marketplaceจุดเด่นเหมาะกับสินค้าข้อจำกัด
Facebookใช้งานฟรี, เหมาะกับของมือสองของมือสอง, ของใช้ทั่วไปไม่มีระบบจัดส่ง, การมองเห็นโพสต์ไม่แน่นอน
Shopeeฐานลูกค้าขนาดใหญ่, รองรับ COD(บริการเก็บเงินปลายทาง)สินค้าทั่วไป, อีคอมเมิร์ซค่าธรรมเนียมขาย, แข่งขันสูง
Lazadaระบบร้านค้าดี, Fulfillmentอิเล็กทรอนิกส์, ของใช้ในบ้านค่าธรรมเนียมสูง, ต้องทำการตลาด
TikTok Shopขายผ่านวิดีโอ, ไลฟ์สดเครื่องสำอาง, เสื้อผ้าต้องผลิตคอนเทนต์, อัลกอริธึมเปลี่ยนแปลงบ่อย
Amazonตลาดสากล, Fulfillmentแบรนด์ที่ต้องการขายต่างประเทศค่าธรรมเนียมสูง, การแข่งขันสูง
eBayขายทั่วโลก, เหมาะกับของสะสมของสะสม, สินค้าหายากต้องตั้งค่าระบบการขายให้ดี

วิธีเลือก Marketplace ให้เหมาะกับสินค้า

  • หากต้องการ ขายของมือสองหรือสินค้าในท้องถิ่น → Facebook Marketplace, Kaidee
  • หากต้องการ ขายสินค้าใหม่ในตลาดทั่วไป → Shopee, Lazada
  • หากต้องการ ใช้วิดีโอและไลฟ์สดในการขาย → TikTok Shop
  • หากต้องการ ขายสินค้าให้ลูกค้าต่างประเทศ → Amazon, eBay
  • หากต้องการ ขายสินค้าแบรนด์แท้หรือพรีเมียม → JD Central

ในปี 2025 Shopee, Lazada และ TikTok Shop ยังคงเป็น Marketplace ยอดนิยมในไทย ส่วน Amazon และ eBay เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ Facebook Marketplace เหมาะสำหรับการขายสินค้าทั่วไปโดยไม่มีค่าธรรมเนียม ดังนั้นก่อนวางขายสินค้าอย่าลืมเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะสมกับสินค้าและกลยุทธ์การขายให้ดี รวมทั้งเลือกระบบขนส่งที่ไว้ได้ใจ เพราะการจัดส่งสินค้าเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขายของออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณควบคุมต้นทุนการผลิตและสร้างกำไรจากธุรกิจนั้นได้

15 สินค้ายอดนิยมสำหรับซื้อขายออนไลน์ | SME Shipping

เริ่มต้นลงทุน ขายของออนไลน์อะไรดี พบกับ 15 อันดับสินค้ายอดนิยม

ในยุคดิจิทัลที่การช้อปปิ้งออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การลงทุนขายของออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำและโอกาสเติบโตสูง แต่การเลือกสินค้าที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จ หากคุณกำลังมองหาไอเดียสำหรับสินค้าขายดี วันนี้ SME Shipping ได้รวบรวม 15 อันดับสินค้ายอดนิยมที่มีแนวโน้มมาแรง สินค้ายอดนิยมสำหรับคนที่กำลังมองหาว่าจะขาย ออนไลน์ อะไร ดี ในปี 2025 เพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างมั่นใจและตรงจุด

สินค้ายอดนิยมที่มียอดขายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ปี 2024 จะสามารถจำแนกออกเป็น 4 หมวดหลักๆ ได้แก่ 

สินค้าเพื่อความสนุกสนาน 

  • ของเล่นในน้ำ (แทรมโพลีนและของเล่นเด็ก)
  • มาลัยดอกไม้แบบฮาวาย
  • ท่อลม

สินค้าเพื่อบ้านและสวน

  • อุปกรณ์ดูแลสนามหญ้า
  • อุปกรณ์เสริมสำหรับสระว่ายน้ำ
  • เป้น้ำ

สินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม

  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • ของกินเล่นหรือขนม
  • เสื้อผ้าแฟชั่น
  • สกินแคร์และเครื่องสำอาง
  • วิตามินและอาหารเสริม

สินค้าอื่นๆ ที่น่าสนใจ 

  • กล่องสุ่ม Art Toy
  • เครื่องประดับ
  • ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง
  • สินค้าอุปกรณ์ในครัว

15 อันดับสินค้ายอดนิยม

การเลือกสินค้าที่ตรงกับความสนใจและความถนัดเพื่อสร้างธุรกิจออนไลน์ จะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ธุรกิจนั้นๆ ประสบความสำเร็จ ซึ่งสินค้าแต่ละประเภทมีการเติบโตที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา และข้อมูลยอดขายต่อไปนี้คือสินค้าที่มีแนวโน้มขายดีที่อาจทำให้คนที่กำลังมองหาสินค้าออนไลน์ตัดสินใจเลือกลงทุนได้ง่ายขึ้น 

  1. ของเล่นในน้ำ

ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 376% ในช่วงหน้าร้อน สินค้าอื่นๆ เช่น แทรมโพลีนและบ้านเด็กก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน 

  1. มาลัยดอกไม้แบบฮาวาย

ยอดขายเพิ่มขึ้น 356% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 และมาลัยข้อเท้าก็ขายดีในช่วงเทศกาล 

  1. ท่อลม

สินค้าแห่งความบันเทิงที่มาพร้อมกับความสร้างสรรค์ในทุกกิจกรรม ยอดขายเพิ่มขึ้น 274% 

  1. อุปกรณ์ดูแลสนามหญ้า

ยอดขายเพิ่มขึ้น 234% สะท้อนถึงความสนใจในการทำสวนและกิจกรรมกลางแจ้ง

  1. อุปกรณ์เสริมสำหรับสระว่ายน้ำ

สินค้าสุดฮิตที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้มีชีวิตชีวาไม่ว่าจะเป็นห่วงยาง, ลูกบอลน้ำ หรือไฟใต้น้ำด้วยยอดขายเพิ่มขึ้น 220% ส่วนยอดขายสระว่ายน้ำเพิ่มขึ้น 156% 

  1. เป้น้ำ

ยอดขายเพิ่มขึ้น 215% สินค้าในกลุ่มกีฬาที่กำลังมาแรงยังรวมถึงสินค้าสำหรับเชียร์ลีดเดอร์และวอลเลย์บอล 

  1. อาหารและเครื่องดื่ม

คนไทยยังคงนิยมอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเครื่องดื่มหวานๆ หลังมื้ออาหาร ตลาดนี้มีการแข่งขันสูง แต่ยังมีโอกาสสำหรับผู้เริ่มต้น 

  1. ของกินเล่นหรือขนม

ขนมแปลกๆ หรือของกินเล่นได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok 

  1. เสื้อผ้าแฟชั่น

เทรนด์การแต่งตัวมีการอัปเดตอยู่เสมอ เสื้อผ้าสไตล์เกาหลีหรือวินเทจยังคงขายดี 

  1. สกินแคร์และเครื่องสำอาง

ผู้คนหันมาดูแลผิวพรรณมากขึ้น สินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความนิยม 

  1. กล่องสุ่ม Art Toy

กระแสกล่องสุ่มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มนักสะสม 

  1. เครื่องประดับ

สินค้ากลุ่มนี้เป็นที่ต้องการ เนื่องจากสามารถเพิ่มลูกเล่นให้กับการแต่งตัว 

  1. วิตามินและอาหารเสริม

ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้สินค้ากลุ่มนี้ขายดี 

  1. ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยง

สินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เช่น อาหารคุณภาพสูง ทรายแมวจากธรรมชาติ และแชมพูออร์แกนิก ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น 

  1. สินค้าอุปกรณ์ในครัว

อุปกรณ์ทำอาหารและจัดเก็บในครัว เช่น หม้อทอดไร้น้ำมัน และเครื่องปั่นผลไม้แบบพกพา เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค 

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาไอเดียเริ่มต้นขายของออนไลน์ในปี 2025 สินค้ายอดนิยมเหล่านี้ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นของเล่นในน้ำ สกินแคร์และเครื่องสำอาง กล่องสุ่ม Art Toy หรืออาหารและขนมที่แปลกใหม่ ซึ่งตอบโจทย์ทั้งกระแสตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน การเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและการสร้างจุดเด่นให้แตกต่างจากคู่แข่งจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนออนไลน์ได้

วิธีเลือกพาร์ทเนอร์ด้านการขนส่งสำหรับ SME | SME Shipping

ธุรกิจเติบโตด้วยการขนส่ง วิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME

การขนส่งสินค้าเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME เติบโตและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ซึ่งการเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรพิจารณาในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ของผู้ให้บริการ ระบบขนส่งออนไลน์ติดตามสินค้าได้ตลอดเวลา และความยืดหยุ่นของบริการ เช่น การจัดส่งด่วน การเก็บเงินปลายทาง และการติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ การเปรียบเทียบต้นทุน การรับประกันความเสียหาย และการสนับสนุนลูกค้าที่ดีต่างเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจส่งมอบสินค้าได้ตรงเวลาและคุ้มค่า โดยวันนี้เราจะมานำ SME Shipping หนึ่งในพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ใช่สำหรับธุรกิจ SME ทั้งขนาดเล็ก และขนาดกลางโดยเฉพาะ

SME Shipping ดียังไง?

SME Shipping คือบริการขนส่งที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) เพื่อช่วยให้การขนส่งออนไลน์มีความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่ามากขึ้นเหมาะกับความต้องการของธุรกิจ เช่น การจัดส่งแบบเก็บเงินปลายทาง (COD) การจัดส่งด่วนภายในวันเดียว และระบบติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ SME Shipping ยังมีการดูแลลูกค้าตลอดการขนส่งออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ผู้ขาย สามารถส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา

วิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจ SME

การเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสะดวก สร้างความมั่นใจให้ลูกค้า และช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์สำหรับธุรกิจ SME เพื่อให้ตอบโจทย์ในด้านต่าง ๆ ของการขายสินค้า มีดังนี้

  1. มีความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ในการขนส่งสินค้าที่สามารถตรวจสอบรีวิวหรือความเห็นจากธุรกิจอื่นได้ เพื่อให้มั่นใจว่าพัสดุจะถูกส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัย
  2. มีบริการครอบคลุม เช่น การขนส่งด่วน บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) หรือการจัดส่งระหว่างประเทศ รวมถึงความยืดหยุ่นในการจัดการตามความต้องการของธุรกิจ
  3. ลองเปรียบเทียบต้นทุนการขนส่งระหว่างผู้ให้บริการหลายราย เพื่อให้ได้ต้นทุนการขนส่งออนไลน์ที่เหมาะสมโดยไม่ลดคุณภาพการบริการ
  4. มีระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ เพื่อให้คุณและลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้อย่างสะดวก
  5. มีบริการลูกค้าที่ตอบสนองรวดเร็ว เช่น ช่องทางติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือแชทที่พร้อมช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
  6. สามารถจัดการปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลหรือโปรโมชัน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าทันเวลา
  7. มีเงื่อนไขในการรับประกันสินค้าในกรณีสูญหายหรือเสียหายระหว่างการขนส่ง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของธุรกิจ

การเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจ SME จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นการเลือกพาร์ทเนอร์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมต่อการขายสินค้า และการขนส่งออนไลน์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นทุกประเภท

สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการสมัครขายของใน Amazon | SME Shipping

สมัครขายของใน Amazon ต้องเตรียมอะไรบ้าง ทำอย่างไรให้ผ่าน

การสมัครขายสินค้าบน Amazon เพื่อเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการค้าขายสินค้าในยุคปัจจุบัน ซึ่งก่อนการเริ่มต้นขายสินค้า ร้านค้าจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวอย่างละเอียด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผ่านการตรวจสอบจาก Amazon และเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างราบรื่น การเตรียมความพร้อมในทุกขั้นตอนก่อนเริ่มสมัครขายสินค้าจะช่วยให้คุณสามารถผ่านกระบวนการสมัครและเริ่มต้นขายของในอเมซอนได้อย่างมั่นใจ และวันนี้ SME Shipping จะพาทุกคนไปทำตามขั้นตอนให้ผ่านฉลุยไปด้วยกัน

สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนสมัครขายของใน Amazon

การสมัครขายของในอเมซอนเป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์บนแพลตฟอร์มระดับโลก ร้านค้าควรเตรียมความพร้อมทั้งข้อมูลร้านค้าและสินค้า วิเคราะห์โปรไฟล์การขาย และเลือกแผนการขายที่เหมาะสม นอกจากนี้ การเตรียมเอกสารยืนยันตัวตน บัตรเครดิต และบัญชี Payoneer รวมถึงอีเมลสำหรับการสมัคร เพื่อให้การดำเนินการทุกอย่างผ่านและเริ่มต้นขายสินค้าได้รวดเร็วมากขึ้น ดังนี้

 1.       เตรียมข้อมูลร้านค้าและสินค้าที่ต้องการขาย

เริ่มต้นด้วยการเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าของคุณ เช่น ชื่อร้านค้า ที่อยู่สำหรับติดต่อ และรายละเอียดสินค้า ข้อมูลสินค้าควรรวมถึงคำอธิบายที่ชัดเจน รูปภาพคุณภาพสูง และราคาที่แข่งขันได้ ชื่อธุรกิจหรือชื่อแบรนด์ (ถ้ามี) และประเภทสินค้าที่ต้องการขาย (ระบุหมวดหมู่สินค้าที่ชัดเจน) โดยปัจจุบัน Amazon มีหมวดหมู่สินค้าให้เลือกขายได้มากกว่า 30 หมวดหมู่ อาทิ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์, ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม, ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ สินค้าสำหรับเด็ก และหมวดหมู่อื่นๆ ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://sell.amazon.co.th/sell/product-category?ref_=sdth_soa_product-cat_i

 2.        เลือกแผนการขายที่เหมาะสม

การวางแผนการขายเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้การสมัครขายของในอเมซอนของคุณผ่านง่ายขึ้น โดยAmazon มีแผนการขาย 2 ประเภท ระหว่างIndividual และ Professional ให้เลือกขายตามความเหมาะสมของสินค้า คือ

  • Individual Account: เหมาะสำหรับผู้ขายรายย่อยหรือผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน แต่จะมีค่าธรรมเนียมต่อการขายสินค้าแต่ละชิ้น
  • Professional Account: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าในปริมาณมาก มีค่าธรรมเนียมรายเดือนประมาณ $39.99 แต่ไม่มีค่าธรรมเนียมต่อชิ้น

 3.        เตรียมเอกสารยืนยันตนให้เรียบร้อย

เมื่อมาถึงขั้นตอนการยืนยันตัวตน Amazon จะขอเอกสารสำคัญเพื่อใช้ยืนยันตัวตน ดังนี้

  • บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือเดินทาง (Passport) เพื่อใช้สำหรับยืนยันตัวตน
  • ที่อยู่ปัจจุบัน โดยต้องใช้หลักฐานที่อยู่ เช่น บิลค่าสาธารณูปโภค (ไม่เกิน 90 วัน)
  • บัญชีธนาคาร สำหรับรับเงินโอนจาก Amazon (บัญชีธนาคารที่แนะนำควรสามารถรับเงินต่างประเทศได้)
  • หมายเลขโทรศัพท์ เพื่อใช้รับรหัสยืนยันตัวตน (OTP)

4.       สมัครบัญชี Payoneer และบัตรเครดิต

หลังจากเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมในขั้นตอนต่อมาคือบัญชี Payoneer เพื่อใช้ในการรับเงินค่าสินค้า เนื่องจาก Amazon ไม่รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อผ่าน Paypal และร้านค้าในประเทศไทยจะไม่สามารถรับชำระเงินผ่านการโอนจาก Amazon เข้ามายังบัญชีธนาคารในประเทศไทยได้โดยตรง ดังนั้นก่อนขายสินค้า ร้านค้าจะต้องทำการสมัครบัญชี Payoneer และเชื่อมบัญชีนี้กับ Amazon เพื่อให้สามารถถอนรายได้ของคุณได้อย่างสะดวก และ Amazon จะใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตที่คุณลงทะเบียนไว้ในการหักชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือค่าบริการเสริมอื่นๆ ในขั้นตอนการซื้อขายสินค้า

 5.        สร้างอีเมลที่จะใช้ในการสมัคร

สร้างอีเมลใหม่เพื่อใช้สำหรับบัญชีผู้ขายใน Amazon เท่านั้น เพื่อแยกการจัดการธุรกิจออกจากอีเมลส่วนตัวโดยชัดเจน โดยอีเมลนั้นต้องเป็นแอคเคาท์ที่สามารถตรวจสอบได้ง่ายและตั้งค่าความปลอดภัยผ่านการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) เพื่อป้องกันข้อมูลบัญชีแล้วเรียบร้อย

 [เคล็ดลับ] ในการสมัครขายของในอเมซอนให้ผ่าน

  1. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและชัดเจน โดยใช้เอกสารที่ตรงกับชื่อที่สมัคร และถ่ายรูปหรือสแกนเอกสารให้ถูกต้อง
  2. ข้อมูลที่อยู่และบัญชีธนาคารต้องตรงกับเอกสารที่ยื่น
  3. เลือกหมวดหมู่สินค้าที่เหมาะสม และตรวจสอบว่าสินค้าที่จะขายไม่อยู่ในหมวดหมู่ที่ต้องการการอนุมัติเพิ่มเติม (เช่น ยา อาหาร หรือเครื่องสำอาง)
  4. ติดตามสถานะการสมัคร ซึ่งหากการสมัครถูกปฏิเสธ คุณสามารถติดต่อทีมสนับสนุนของ Amazon เพื่อสอบถามและแก้ไขข้อผิดพลาด

 การสมัครขายของในอเมซอนจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวอย่างละเอียด เพราะการเตรียมข้อมูลเหล่านี้ให้ครบถ้วนและถูกต้องก่อนทำการสมัคร จะช่วยให้กระบวนการสมัครขายสินค้าบน Amazon ของคุณผ่านไปได้อย่างราบรื่นแล้วสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง *เพิ่มเติม Amazon มีค่าธรรมเนียมหลายประเภท เช่น ค่าธรรมเนียมการขาย ค่าเก็บสินค้าในคลัง FBA (Fulfillment by Amazon) อย่าลืมศึกษาค่าธรรมเนียมต่างๆ ทุกครั้งก่อนลงขายสินค้า เพื่อวางแผนต้นทุนและกำหนดราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสม

 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ epacket | SME Shipping

epacket คืออะไร? สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการจัดส่ง ePacket

ePacket เป็นการส่งสินค้าด้วยบริการทางเลือกที่ประหยัดเวลา และต้นทุนต่ำจึงเหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าที่มีขนาดเล็กที่ต้องการส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งก่อนที่คุณจะเลือกใช้บริการนี้จะต้องทำความเข้าใจและทำความรู้ตักกับการจัดส่งสินค้าประเภทนี้ก่อน เพื่ให้คุณสามารถเลือกใช้บริการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

epacket คืออะไร?

ePacket เป็นบริการขนส่งระหว่างประเทศโดยเริ่มต้นจากความร่วมมือระหว่าง China Post และ USPS (United States Postal Service) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจ eCommerce โดยเฉพาะสำหรับการส่งพัสดุขนาดเล็กจากจีนและฮ่องกงไปยังประเทศอื่น ๆ ให้มีความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งบริการนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากสามารถส่งสินค้าได้ในระยะเวลาอันสั้นกว่าการขนส่งแบบธรรมดา ทำให้เหมาะสำหรับผู้ขายออนไลน์ที่ส่งสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งการจัดส่งแบบ ePacket จะช่วยให้ลูกค้าได้รับสินค้าภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยสามารถติดตามสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์ในระหว่างการรอ โดยการจัดส่งเริ่มต้นจากผู้ให้บริการในฮ่องกงหรือจีนที่นำพัสดุไปยังชายแดน จากนั้นพัสดุจะถูกขนส่งต่อไปยังประเทศปลายทางผ่านผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ และเมื่อพัสดุข้ามชายแดนปลายทางมาแล้วจึงจะถูกนำส่งโดยผู้ให้บริการในประเทศปลายทางนั้นๆ เพื่อทำการส่งพัสดุให้ตามสถานที่และวิธีการจัดส่งที่ลูกค้าเลือกไว้

สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการจัดส่ง ePacket

การเลือกใช้บริการ ePacket สำหรับการจัดส่งพัสดุระหว่างประเทศนั้นมีข้อดีหลายประการ โดยเฉพาะในธุรกิจ eCommerce ที่ต้องการส่งสินค้าขนาดเล็กไปยังลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งหากคุณคือคนที่กำลังเริ่มต้นทำธุรกิจแล้วกำลังศึกษาข้อมูลการขนส่งแบบ ePacket ตามพวกเรามาดูสิ่งที่ควรรู้ก่อนทำการขนส่งสินค้าประเภทนี้กัน

  1. ePacket เป็นบริการที่มีต้นทุนต่ำและส่งสินค้าได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการขนส่งทางไปรษณีย์แบบปกติ แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าบริการขนส่งด่วน (Express) แต่ยังสามารถจัดส่งสินค้าภายใน 7-20 วันทำการ ขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง
  2. บริการ ePacket เหมาะกับพัสดุขนาดเล็ก น้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม และขนาดพัสดุต้องไม่เกินข้อกำหนดที่ระบุ เช่น ความยาวไม่เกิน 60 ซม. และผลรวมความยาว ความกว้าง และความสูงไม่เกิน 90 ซม. หากสินค้าของคุณมีขนาดใหญ่กว่านี้ อาจต้องเลือกใช้บริการขนส่งอื่น
  3. ระบบการติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะของพัสดุได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง และรองรับการจัดส่งไปยังหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรป โดยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับธุรกิจที่มีลูกค้าจากหลากหลายประเทศ
  4. ค่าบริการจัดส่งราคาถูกกว่าบริการขนส่งด่วน (Express) และสามารถช่วยลดต้นทุนในการจัดส่งสำหรับธุรกิจ eCommerce ที่ขายสินค้าขนาดเล็ก
  5. หากพัสดุไม่สามารถจัดส่งได้ (เช่น ที่อยู่ปลายทางไม่ถูกต้องหรือไม่สามารถติดต่อผู้รับ) พัสดุจะถูกส่งกลับไปยังผู้ส่งโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยไร้ประโยชน์
  6. ไม่เหมาะสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เพราะePacket จำกัดน้ำหนักพัสดุไม่เกิน 2 กิโลกรัม ความยาวไม่เกิน 60 ซม. และผลรวมความยาว ความกว้าง และความสูงไม่เกิน 90 ซม.

ePacket เป็นบริการที่ที่เหมาะสำหรับการจัดส่งสินค้าขนาดเล็กไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ eCommerce ที่ต้องการส่งสินค้าอย่างรวดเร็วและประหยัด ต้นทุนค่าส่งที่ต่ำ มีระบบติดตามที่โปร่งใสทำให้การขนส่งสินค้าของคุณไปยังลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ePacket จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ขายออนไลน์ที่ต้องการส่งพัสดุขนาดเล็กไปต่างประเทศอย่างรวดเร็วและประหยัด โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ eCommerce ที่มีฐานลูกค้าในหลายประเทศ

 คู่มือการส่งออกข้าวไทยฉบับสมบูรณ์ | SME Shipping

เจาะลึกขั้นตอนส่งออกข้าวไทยไปต่างประเทศฉบับสมบูรณ์

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออกข้าว นักศึกษา เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไป โดยจะอธิบายขั้นตอนการ ส่งออกข้าว ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนการรับเงิน รวมถึง กฎหมายส่งออกข้าว และ ข้อกำหนดส่งออกข้าว ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์

1. บทนำ: ความสำคัญของการส่งออกข้าวไทย

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวที่สำคัญของโลก “ข้าวไทย” ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและรสชาติ เป็นสินค้าที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก รัฐบาลไทยจึงให้การสนับสนุนทั้งด้านการผลิตและส่งออกต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสถานะในตลาดโลก

1.1 ภาพรวมตลาดส่งออกข้าว

ปัจจุบันมีผู้ส่งออกข้าวไทยมากมายที่แข่งขันกันทำตลาดส่งออกข้าวไปยังภูมิภาคต่าง ๆ เช่น เอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง และสหภาพยุโรป แต่ละตลาดมีความต้องการข้าวหลากหลายชนิด ทั้งข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว และข้าวกล้อง ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าแห่งความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวและมีมาตรฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ

1.2 โอกาสและความท้าทาย

  • โอกาส
    • ความต้องการข้าวคุณภาพสูงในตลาดโลก: ผู้บริโภคหลายประเทศให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ทำให้ข้าวไทยเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ
    • นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: รัฐบาลไทยมีมาตรการส่งเสริมการส่งออก เช่น การลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การให้เงินสนับสนุน หรือมาตรการอื่น ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ
    • นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร: การปรับปรุงสายพันธุ์ข้าว การนำเทคโนโลยี IoT และระบบจัดการข้อมูลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
  • ความท้าทาย
    • การแข่งขันจากประเทศผู้ผลิตอื่น: เช่น เวียดนาม อินเดีย หรือปากีสถาน ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเช่นกัน
    • ข้อกำหนดและกฎหมายส่งออกข้าวที่เข้มงวด: แต่ละประเทศมีมาตรฐานกักกันและความปลอดภัยทางอาหารแตกต่างกัน ทำให้ผู้ส่งออกข้าวต้องปรับตัวให้ได้
    • ความผันผวนของตลาดและอัตราแลกเปลี่ยน: การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนอาจกระทบต่อราคาข้าวไทยในตลาดโลก

ด้วยโอกาสและความท้าทายเหล่านี้ การศึกษาขั้นตอนส่งออกข้าวและปฏิบัติตามข้อกำหนดส่งออกข้าวอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดและแข่งขันในระดับสากลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ขั้นตอนการส่งออกข้าว

การส่งออกข้าวไปต่างประเทศมีขั้นตอนหลายอย่าง ตั้งแต่การเตรียมตัวเบื้องต้นไปจนถึงการรับเงินค่าสินค้า ผู้ประกอบการควรวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อลดต้นทุนและบริหารความเสี่ยงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

2.1 การเตรียมตัวก่อนส่งออก

  1. ศึกษาตลาดส่งออกข้าว
    • วิเคราะห์ความต้องการของตลาดในประเทศเป้าหมาย เช่น ชนิดข้าว มาตรฐานคุณภาพ บรรจุภัณฑ์
    • ตรวจสอบข้อบังคับด้านภาษี มาตรการกีดกันทางการค้า และมาตรฐานอาหารที่ประเทศผู้นำเข้ากำหนด
  2. วางแผนการผลิตและการจัดหาข้าวคุณภาพ
    • เลือกสายพันธุ์ข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาด
    • ร่วมมือกับเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร เพื่อให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพสูงและเพียงพอต่อความต้องการ
  3. ประเมินต้นทุนและตั้งราคา
    • คำนวณต้นทุนการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
    • ตั้งราคาให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยต้องคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนและภาษี

2.2 การหาลูกค้าและการทำสัญญา

  1. ค้นหาลูกค้าในต่างประเทศ
    • เข้าร่วมงานแสดงสินค้าระหว่างประเทศ (Trade Fair)
    • ใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ตลาดกลาง (B2B Marketplace) หรือสื่อโซเชียลมีเดียเฉพาะทาง
    • ติดต่อทูตพาณิชย์ประจำประเทศเป้าหมาย เพื่อขอข้อมูลตลาดและรายชื่อผู้นำเข้าที่น่าเชื่อถือ
  2. การเจรจาเงื่อนไขและทำสัญญา
    • ระบุปริมาณข้าวและชนิดของข้าวที่ชัดเจน (เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว หรือข้าวเหนียว)
    • กำหนดราคา เงื่อนไขการชำระเงิน (Letter of Credit, T/T, D/P เป็นต้น) รวมถึงเงื่อนไขการขนส่งและประกันภัย
    • สรุปข้อตกลงในสัญญาส่งออก (Sales Contract) อย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงในการผิดข้อตกลง

2.3 การขอใบอนุญาตส่งออกข้าว

  • ใบอนุญาตส่งออกข้าว (Export License)
    • ในประเทศไทย การส่งออกข้าวจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศ (Department of Foreign Trade) กระทรวงพาณิชย์
    • ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายส่งออกข้าวได้ที่ กรมการค้าต่างประเทศ หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น One Stop Service DITP
    • ผู้ส่งออกจะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด

2.4 การเตรียมเอกสารส่งออกข้าว

เมื่อได้รับใบอนุญาตแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการจัดเตรียมเอกสารส่งออกข้าวต่าง ๆ ได้แก่

  1. Commercial Invoice (ใบกำกับสินค้า)
    • ระบุรายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขาย รายการสินค้า ปริมาณ ราคา และเงื่อนไขการค้า (Incoterms)
  1. Packing List (บัญชีบรรจุสินค้า)
    • ระบุวิธีการบรรจุ น้ำหนัก และปริมาตรของสินค้า
  1. Bill of Lading (B/L) หรือ Airway Bill (AWB)
    • เป็นเอกสารการขนส่งทางเรือหรือทางอากาศ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขนส่งและเรียกรับสินค้า
  1. Certificate of Origin (หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า)
    • ออกโดยหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หรือกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อยืนยันว่า “ข้าว” มาจากแหล่งผลิตในประเทศไทย
  1. Phytosanitary Certificate (ใบรับรองสุขอนามัยพืช)
    • ออกโดยกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อยืนยันว่าข้าวปราศจากศัตรูพืชและเหมาะสมสำหรับการส่งออก
  1. ใบรับรองอื่น ๆ ตามความต้องการของประเทศผู้นำเข้า
    • เช่น เอกสารฮาลาล (Halal Certificate) ในกรณีที่ส่งออกไปยังประเทศมุสลิม

2.5 พิธีการศุลกากรและการขนส่ง

  1. ยื่นเอกสารทางศุลกากร (Customs Clearance)
    • ผู้ส่งออกต้องยื่นใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration) ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Paperless Customs) ของกรมศุลกากร
    • ชำระค่าธรรมเนียมศุลกากร ค่าภาษี หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ (ถ้ามี)
  2. การจัดการขนส่ง
    • เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม: ทางเรือ (ใช้เวลานานแต่ประหยัดต้นทุน) หรือทางอากาศ (เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว)
    • วางแผนการขนส่งร่วมกับบริษัทชิปปิ้ง (Freight Forwarder) หรือบริษัทขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อจัดการเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ พื้นที่ระวาง และการประกันภัย
  3. การส่งมอบสินค้าและติดตามสถานะ
    • สินค้าจะถูกจัดส่งถึงท่าเรือหรือสนามบินปลายทาง
    • ผู้ส่งออกควรติดตามสถานะของสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องเอกสารหรือกระบวนการศุลกากรในประเทศปลายทาง

2.6 การรับเงินค่าสินค้า

  1. วิธีการชำระเงินที่นิยมใช้
    • Letter of Credit (L/C): ธนาคารเป็นตัวกลางในการรับ-จ่ายเงิน สร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
    • Telegraphic Transfer (T/T): ผู้ซื้อโอนเงินเข้าบัญชีผู้ขายผ่านระบบธนาคารอิเล็กทรอนิกส์
    • Documents against Payment (D/P): ผู้ซื้อจะรับเอกสารการขนส่งได้ก็ต่อเมื่อชำระเงินตามจำนวนที่กำหนด
  2. ติดตามการชำระเงิน
    • ตรวจสอบเอกสารทางการเงินให้ถูกต้องและครบถ้วน
    • บันทึกรายรับและภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำหรับการทำบัญชีและตรวจสอบในอนาคต

3. เอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้อง

ในการส่งออกข้าว มีเอกสารที่ต้องจัดเตรียมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบราชการและมาตรฐานสากล รายการหลัก ๆ มีดังนี้

  1. ใบอนุญาตส่งออกข้าว (Export License)
    • ขอจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นขั้นตอนสำคัญในการขออนุญาตทำธุรกรรมการส่งออก
  2. ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice)
    • เอกสารทางการค้าที่ใช้ยืนยันมูลค่าของสินค้า ระบุรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อกระบวนการศุลกากร
  3. หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
    • เป็นเอกสารสำคัญสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่มีสิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
  4. ใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate)
    • ยืนยันความปลอดภัยของข้าวในเชิงสุขอนามัยป้องกันการแพร่กระจายของศัตรูพืช
  5. เอกสารประกอบอื่น ๆ
    • ใบรับรองมาตรฐานต่าง ๆ (เช่น GMP, HACCP) ใบรับรองฮาลาลสำหรับตลาดมุสลิม เป็นต้น

4. กฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

ผู้ประกอบการควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายและข้อกำหนดส่งออกข้าวต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด

  1. พระราชบัญญัติการค้าข้าว
    • เป็นกฎหมายหลักที่ควบคุมการซื้อขายและการส่งออกข้าวในประเทศไทย ระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ
    • กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ดำเนินการผิดระเบียบ เช่น การส่งออกข้าวโดยไม่มีใบอนุญาต
  2. กฎหมายศุลกากร
    • พิธีการศุลกากรเกี่ยวข้องกับการยื่นใบขนส่งสินค้า การคำนวณภาษีและค่าธรรมเนียม และการตรวจปล่อยสินค้า หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับหรือยึดสินค้า
  3. มาตรฐานสินค้าข้าว
    • ประเทศผู้นำเข้าบางแห่งอาจกำหนดมาตรฐานข้าวด้านคุณภาพและความปลอดภัย
    • ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบและขอใบรับรองตามมาตรฐานนั้น ๆ เช่น มาตรฐานโคเด็กซ์ (Codex) หรือมาตรฐานประเทศปลายทาง
  4. ข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า

5. เคล็ดลับสำหรับผู้ส่งออกข้าว

การเป็นผู้ส่งออกข้าวให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้หยุดแค่การส่งข้าวถึงมือผู้ซื้อ แต่ต้องวางแผนและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ

  1. เลือกตลาดอย่างชาญฉลาด
    • ศึกษาความต้องการเฉพาะของแต่ละตลาด เช่น ชนิดข้าว บรรจุภัณฑ์ มาตรฐานสุขอนามัย
    • ประเมินคู่แข่งและอัตราภาษีของตลาดนั้น ๆ หากตลาดไหนมีภาษีนำเข้าต่ำและความต้องการสูง ควรให้ความสำคัญก่อน
  2. สร้างเครือข่าย (Networking)
    • ร่วมมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย หรือสมาคมการค้าต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์
    • เข้าร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business Matching) จัดโดยหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน
  3. เจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์
    • ศึกษาวัฒนธรรมและแนวปฏิบัติทางธุรกิจของประเทศคู่ค้า
    • ใช้ข้อมูลต้นทุนและคุณภาพข้าวในการต่อรองราคา และพยายามตกลงเงื่อนไขการชำระเงินที่ปลอดภัยสำหรับทั้งสองฝ่าย
  4. บริหารความเสี่ยงด้านการเงินและโลจิสติกส์
    • พิจารณาทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน (Currency Hedging) เพื่อป้องกันอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน
    • เลือกบริษัทขนส่งที่มีประสบการณ์ และกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้ผู้ให้บริการมากกว่าหนึ่งราย
  5. สร้างแบรนด์และเพิ่มมูลค่าข้าวไทย
    • ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงคุณค่าของ“ข้าวไทย” เน้นความเป็นอัตลักษณ์ เช่น รูปวัดไทย หรือลวดลายไทย
    • ทำการตลาดออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์ม B2B ให้ผู้ซื้อเข้าถึงข้อมูลสินค้าได้ง่าย
  6. ติดตามและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า
    • ประเมินความพึงพอใจของลูกค้าเป็นประจำ พร้อมปรับปรุงสินค้าและบริการตามข้อเสนอแนะ
    • รักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับคู่ค้า เพื่อสร้างความมั่นคงในการสั่งซื้อครั้งต่อ ๆ ไป

6. บทสรุป

การส่งออกข้าวเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เพราะ “ข้าวไทย” มีชื่อเสียงด้านคุณภาพและรสชาติเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่ตลาดส่งออกต่างประเทศต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในกฎระเบียบ และกฎหมายส่งออกข้าวที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่

  • การศึกษาตลาดส่งออกข้าวและวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค
  • การเตรียมพร้อมในด้านการผลิตและการขอใบอนุญาตส่งออกข้าว
  • การเตรียมเอกสารส่งออกข้าวและปฏิบัติตามพิธีการศุลกากร
  • การเจรจาทำสัญญา ขนส่งสินค้า และรับชำระเงิน
  • การบริหารความเสี่ยงและปฏิบัติตามข้อกำหนดส่งออกข้าวของประเทศต่าง ๆ

การนำ “ข้าวไทย” ออกสู่เวทีระดับโลกถือเป็นโอกาสที่สามารถสร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในระยะยาว หากผู้ส่งออกมีความรอบคอบในการทำธุรกิจ เตรียมข้อมูลครบถ้วนตามที่หน่วยงานภาครัฐและตลาดปลายทางกำหนด พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและการตลาด สินค้า “ข้าวไทย” ย่อมเป็นที่ต้องการอย่างยั่งยืน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

เอกสารจากแหล่งทางการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ส่งออกได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศ อัตราภาษี และมาตรการส่งเสริมอื่น ๆ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทยที่สนใจเริ่มต้นหรือขยายตลาดการส่งออกข้าวให้ประสบความสำเร็จในระดับสากล การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต้องเริ่มจากความรู้และการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างครบถ้วน สินค้า “ข้าวไทย” จึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลกได้ต่อไป