H.T.S. Code คืออะไร? ทำความเข้าใจกับการส่งของไปอเมริกา

สวัสดีครับ ในฐานะที่ผมทำงานด้านขนส่งพัสดุระหว่างประเทศมากว่า 10 ปี ผมสัมผัสได้เลยว่า การเปลี่ยนแปลงด้านเงื่อนไขศุลกากรของประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงนี้มีผลกระทบกับผู้ส่งมากที่สุด ตั้งแต่ผมได้ทำงานด้านนี้มา วันนี้ผมจะอธิบายเรื่อง H.T.S. Code ให้คุณฟังแบบง่ายๆ เพื่อให้การส่งของไปอเมริกาของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

H.T.S. Code คืออะไร?

H.T.S. Code ย่อมาจาก Harmonized Tariff Schedule Code เป็นรหัสตัวเลข 10 หลัก ที่สหรัฐอเมริกาใช้จำแนกประเภทสินค้าที่เข้าประเทศ เหมือนกับบัตรประชาชนของสินค้านั่นเอง ทุกชิ้นที่คุณส่งไปอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ของที่ระลึก หรือแม้แต่ขนมไทย ต้องมี H.T.S. Code ทั้งหมด เพื่อให้ศุลกากรอเมริกันรู้ว่าสินค้าของคุณคืออะไร และต้องเสียภาษีเท่าไร

ทำไมต้องใส่ H.T.S. Code?

  1. กฎหมายบังคับ – ไม่ใส่ไม่ได้เลย พัสดุจะติดศุลกากร
  2. คำนวณภาษี – เพื่อให้ศุลกากรคิดภาษีนำเข้าได้ถูกต้อง
  3. ตรวจสอบสินค้า – ช่วยให้เจ้าหน้าที่รู้ว่าต้องตรวจสอบอะไรบ้าง

โครงสร้าง H.T.S. Code 10 หลัก

มาดูตัวอย่างกับ เครื่องประดับที่ใช้ในบ้าน (เช่น โคมไฟไม้ไผ่ หรือตะกร้าหวาย) จะเห็นว่ารหัสแยกเป็นชั้น ๆ แบบนี้:

ตัวอย่าง: เครื่องประดับบ้านจากไม้ไผ่

รหัส: 9403.89.6010

ระดับหลักรหัสความหมาย
Chapter2 หลัก94หมวดเฟอร์นิเจอร์ เตียง ที่นอน โคมไฟ
Heading4 หลัก9403เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ และชิ้นส่วน
HS Code6 หลัก9403.89เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุอื่น ๆ (ไม่ใช่โลหะ/ไม้/พลาสติก)
Subheading8 หลัก9403.89.60เฟอร์นิเจอร์จากหวาย ไม้ไผ่ หรือวัสดุคล้าย ๆ
Statistical10 หลัก9403.89.6010เครื่องประดับบ้านจากไม้ไผ่โดยเฉพาะ

เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้:

  • 2 หลักแรก (94) = อยู่ในกลุมเฟอร์นิเจอร์
  • 4 หลัก (9403) = เป็นเฟอร์นิเจอร์ประเภทอื่น ๆ
  • 6 หลัก (9403.89) = ทำจากวัสดุพิเศษ (ไม่ใช่โลหะ ไม้ ปลาสติกธรรมดา)
  • 8 หลัก (9403.89.60) = ระบุว่าทำจากไม้ไผ่หรือหวาย
  • 10 หลัก (9403.89.6010) = เจาะจงว่าเป็น “เครื่องประดับบ้าน” จากไม้ไผ่

6 หลักแรก ทุกประเทศใช้เหมือนกัน แต่หลักที่ 7-10 เป็นเอกลักษณ์ของอเมริกา เพื่อแยกประเภทให้ละเอียดมากขึ้น

ตัวอย่างสินค้าทั่วไปและ H.T.S. Code

  • เสื้อยืดผ้าฝ้าย: 6109.10.0040
  • กระเป๋าหนัง: 4202.22.8020
  • ขนมไทยแห้ง: 1905.90.9040
  • เครื่องสำอาง (ครีม): 3304.99.0000

เคล็ดลับการหา H.T.S. Code ที่ถูกต้อง

  1. อธิบายสินค้าให้ละเอียด – วัสดุทำจากอะไร ใช้เพื่ออะไร
  2. ใช้เว็บไซต์ของศุลกากรอเมริกา (usitc.gov) ค้นหาได้ฟรี
  3. สอบถามบริษัทขนส่ง – เรามีประสบการณ์ช่วยแนะนำได้
  4. ระวังการจำแนกผิด – อาจทำให้เสียภาษีเพิ่มหรือพัสดุถูกยึด

ข้อควรระวัง

  • ห้ามใส่รหัสผิด เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี เพราะอาจมีปัญหาตามมา
  • สินค้าต้องห้าม บางอย่างเช่น อาหารสด เนื้อสัตว์ ห้ามส่งเด็ดขาด
  • ราคาสินค้า ต้องระบุให้ตรงกับความเป็นจริง

สรุป

H.T.S. Code เป็นเรื่องที่ฟังดูซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วเมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่ยาก สิ่งสำคัญคือต้องระบุข้อมูลสินค้าให้ถูกต้องและครบถ้วน

หากคุณยังไม่แน่ใจ อย่าลืมสอบถามทีมงานของ SME Shipping ได้เสมอนะครับ เพราะการใส่รหัสผิดอาจทำให้พัสดุติดศุลกากร หรือเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ติดต่อ SME Shipping ได้ที่ 02-105-7777 หรือ Line @Shipping

ขอให้การส่งพัสดุของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น! 

ค่าระวางเรือ (Freight Charge)

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025: พิธีการใหม่ส่งผลอย่างไรต่อผู้ส่งสินค้าไทย

ในปี 2025 สหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ de minimis หรือการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและแพลตฟอร์มอี‑คอมเมิร์ซ ส่งผลให้ มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025 กลายเป็นหัวใจสำคัญของผู้ส่งสินค้าไปยังอเมริกา โดยเฉพาะผ่านบริการด่วนอย่าง FedEx และ DHL

ภาพรวมการเปลี่ยนแปลง: ยุติ de minimis ไทย–สหรัฐ

ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สหรัฐฯ จะยกเลิกการยกเว้นภาษีสินค้า ทุกชิ้นไม่ว่าจะมูลค่าเท่าไหร่ ที่ส่งเข้าไปยังอเมริกา ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการป้องกันการส่งสินค้าผิดกฎหมาย (เช่น ยาเสพติด สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ) 

เดิมที สิทธิ de minimis ยอมให้พัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์เข้าประเทศได้โดยไม่เสียภาษี และไม่ต้องผ่านพิธีการศุลกากรซับซ้อน แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว แม้แต่พัสดุราคาถูก…ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวน และผ่านกระบวนการศุลกากรอย่างละเอียด

ปฏิบัติการของบริษัทขนส่งด่วน: FedEx และ DHL ปรับตัวอย่างไร?

FedEx ได้ออก Regulatory Alert แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการยกเลิก de minimis และแนะนำให้ลูกค้าคำนวณภาษีล่วงหน้า เตรียมเอกสารให้ครบ เช่น HS Code, ใบสินค้าระบุต้นทาง/ราคา เพื่อให้ผ่านศุลกากรได้เร็วขึ้น 

ขณะที่ DHL Express เคยหยุดรับพัสดุที่เกิน 800 ดอลลาร์ชั่วคราว (เดือนเมษายน 2025) เพื่อปรับระบบให้รองรับมาตรการใหม่ และเริ่มกลับมารับพัสดุตามปกติอีกครั้งตั้งแต่ 28 เมษายน 2025 โดยใช้ระบบ “informal entry” สำหรับสินค้ามูลค่าระหว่าง 800–2,500 ดอลลาร์ ที่ช่วยให้กระบวนการผ่านศุลกากรเร็วขึ้น

นอกจากนี้ DHL ยังเสนอ โซลูชันเสริม เช่น:

  • Break Bulk Express (BBX): รวมหลายพัสดุให้เป็นคำขอศุลกากรชุดเดียว (ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อน)
  • Foreign Trade Zone (FTZ): พื้นที่พักสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อเลื่อนการชำระภาษี หรือบริหารสต็อกได้ยืดหยุ่นขึ้น

ทำไมผู้ส่งสินค้าไทยต้องจับตา “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” นี้?

  1. ต้นทุนเพิ่มขึ้นแน่นอน – แม้แต่สินค้าราคาประหยัดก็ต้องผ่านพิธีการศุลกากรและเสียภาษีเต็มจำนวน ซึ่งทำให้ต้นทุน “landed cost” ของผู้ส่งออกไทยสูงขึ้นทันที
  2. ลูกค้าอาจลังเล – เมื่อสินค้าถูกขึ้น 19% หรือเสียค่าดำเนินการสูง ลูกค้าในตลาดปลายทางอาจเปลี่ยนไปซื้อจากผู้ขายที่มีสต็อกในสหรัฐฯ แล้ว ลดภาระภาษี
  3. การแข่งขันเปลี่ยนรูปแบบ – ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ เช่น ส่งทีละเยอะขึ้น (เพื่อกระจายต้นทุน per unit), เปลี่ยนเส้นทางขนส่ง, หรือใช้บริการ BBX / FTZ ของ DHL เพื่อลดความซับซ้อน

แนวทางปฏิบัติที่ SMEs ไทยสามารถนำไปใช้ได้จริง

  • คำนวณภาษีและค่าผ่านศุลกากรล่วงหน้า ให้ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าราคาสุทธิจะเท่าไหร่
  • เตรียมเอกสารให้พร้อม, เช่น HS Code และ ใบกำกับสินค้า (Invoice) ที่ชัดเจน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการขนส่งอย่าง SME Shipping ก่อนการจัดส่งสินค้าธุรกิจ 
  • พิจารณาเก็บสต็อกในสหรัฐฯ (Fulfillment Center/3PL) เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีตอนนำเข้า และเพิ่มความเร็วในการส่งถึงปลายทาง
  • สื่อสารกับลูกค้าอย่างจริงใจ อธิบายว่าทำไมราคาขายถึงเปลี่ยน, และเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อใจ

มาตรการนี้เปลี่ยนเกมการส่งสินค้าไปอเมริกาแบบสิ้นเชิง แม้บริการขนส่งด่วนจากบริษัทไปรษณีย์เอกชน อย่าง FedEx และ DHL พยายามปรับเครื่องมือและช่องทางให้ลูกค้ารับมือได้ง่ายขึ้น แต่ SMEs ไทยยังต้องปรับตัวลงลึก ทั้งในเรื่อง ต้นทุน, การจัดเตรียมเอกสาร, และ เส้นทางโลจิสติกส์

หากคุณกำลังส่งของออกไปสหรัฐอเมริกา อย่ามองข้าม “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” เพราะนี่อาจเป็นตัวพาให้คุณได้เปรียบทางธุรกิจ…หรือขาดทุนโดยไม่รู้ตัว

ปรึกษาผู้ช่วยมืออาชีพด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของ SME Shipping ได้ฟรี ก่อนการส่งสินค้าไปที่อเมริกา เพียงโทรหาเราที่ 02-105-7777  หรือแชทผ่าน LINE OA: @shipping

ที่มาข่าว https://www.dhl.com/us-en/home/important-information/2025/shipments-to-the-united-states-with-a-customs-value-exceeding-usd-800.html?utm_source=chatgpt.com

https://www.fedex.com/content/dam/fedex/us-united-states/International/US_Eliminates_De_Minimis_Treatment_for_Imports_Effective_August_29_2025.pdf?utm_source=chatgpt.com

รหัสไปรษณีย์ (Postal Code) ความสำคัญในโลกยุคดิจิทัล

ในยุคที่ธุรกิจขนส่งออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเติบโตแบบก้าวกระโดด รหัสไปรษณีย์ (Postal Code) กลายเป็น เครื่องมือสำคัญเพื่อการคัดแยกและจัดส่งที่แม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ บทความนี้จะเล่าให้เห็นภาพลึกจากอดีตถึงปัจจุบันว่า “รหัสไปรษณีย์คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ใช้กันอย่างไรในแต่ละประเทศ และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไรในยุคนี้”

ประวัติรหัสไปรษณีย์ 

  • ระบบรหัสไปรษณีย์มีจุดเริ่มต้นจากการแบ่งพื้นที่ใหญ่ เช่น ลอนดอนในปี 1857 แบ่งเป็น 10 เขต ได้แก่ EC, WC, N, NE, E, SE, S, SW, W, NW ซึ่งช่วยให้จัดส่งภายในเมืองได้เร็วขึ้น
  • ระบบรหัสไปรษณีย์แบบสมัยใหม่ใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในยูเครนปี 1932 แต่เลิกใช้ในปี 1939
  • เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่เริ่มใช้อย่างจริงจังในปี 1941
  • สหรัฐอเมริกาติดตามมาในยุคสงครามกลางทศวรรษ 1960 ด้วยระบบ ZIP Code (1963)
  • สหราชอาณาจักรใช้งานระบบแบบตัวอักษรผสมตัวเลข (alphanumeric) เริ่มทดลองในปี 1959 และใช้ทั่วประเทศในช่วงปี 1974

โครงสร้างรหัสไปรษณีย์ในแต่ละประเทศ  

• ประเทศไทย

  • ใช้รหัส 5 หลัก (NNNNN) โดยตัวเลขสองหลักแรกบ่งบอกจังหวัดหรือพื้นที่พิเศษ ส่วนอีกสามหลักเป็นตัวแทนของที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่นั้น
  • ระบบรหัสเหล่านี้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2525 (1982)
  • มีการแบ่ง “โซน” ของรหัสตามภูมิภาค เช่น 10xxx เป็นเขตกลาง, 20xxx เขตตะวันออก, 80xxx เขตใต้ ฯลฯ

• เยอรมนี

  • ใช้ระบบ 2 หลักในปี 1941 จากนั้นปรับเป็น 4 หลักในปี 1962 (ตะวันตก) และอีกระบบของตะวันออกตามมา
  • ปัจจุบันใช้ 5 หลักตั้งแต่ปี 1993 เพื่อรองรับการรวมประเทศและการขยายเขตพื้นที่บริการ ฯลฯ

• ญี่ปุ่น

  • รหัสประกอบด้วยตัวเลข 7 หลัก รูปแบบ NNN-NNNN
  • ตัวแรกสองหลักบ่งบอกจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น “40” คือจังหวัด Yamanashi
  • ใช้สัญลักษณ์ “〒” (ยูบิ้นมาร์ก) นำหน้ารหัส เพื่อระบุว่าเป็นหมายเลขไปรษณีย์

• สหราชอาณาจักร

  • ใช้ระบบตัวอักษรผสมตัวเลข เช่น SW1A 1AA
  • โครงสร้างแบ่งเป็น Outward code (พื้นที่และเขต) กับ Inward code (sectors และ จุดส่ง)
  • ระบบนี้ช่วยให้เล็งถึงระดับถนนหรือบ้านเลขที่เฉพาะ — บางรหัสระบุถึงประมาณ 10–15 ที่อยู่ หรือแม้กระทั่งบ้านคนเดียว

ประโยชน์ของการใช้รหัสไปรษณีย์ 

  • เพิ่มความเร็วในการคัดแยกและการส่ง เพราะเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติอ่านรหัสได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • ลดความผิดพลาด จากการสะกดผิดหรือเขตพื้นที่คลุมเครือ
  • รองรับระบบที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ระบบนำทาง (GPS), อ้างอิงทางสถิติ, การประเมินความเสี่ยง, การทำตลาด
  • ประสิทธิภาพในธุรกิจและบริการ เช่น การนำรหัส UK ไปกำหนดเป็นหน่วยที่ใช้ในระบบจัดสรรทรัพยากร (Postcode Address File)

นวัตกรรมล่าสุดของระบบไปรษณีย์ของไทย 

ไทยกำลังพัฒนาระบบ Digital Post ID ซึ่งใช้ QR Code แทนรหัส 5 หลักเดิม ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อให้ระบุที่อยู่อย่างแม่นยำ รวมถึงในตึกสูงหรือคอนโดมิเนียม ที่รหัสไปรษณีย์ทั่วไปไม่สามารถครอบคลุมได้
QR Code นี้ใช้ครั้งเดียว (one-time-use) เพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลและเพิ่มความเป็นส่วนตัวของผู้รับ

โดยรวมแล้ว รหัสไปรษณีย์… ฟังดูเหมือนตัวเลขธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันคือ หัวใจของการสื่อสารและการขนส่งโลก

ทุกประเทศออกแบบรหัสของตัวเองให้สอดคล้องกับพื้นที่ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ แต่สุดท้าย… รหัสเหล่านี้กลับทำหน้าที่เดียวกัน คือ ทำให้โลกเชื่อมถึงกันได้ในไม่กี่วัน ✈️

และวันนี้ ระบบกำลังพัฒนาไปสู่ Digital Post ID ที่แม่นยำกว่าที่เคย นี่คือก้าวถัดไปของโลกโลจิสติกส์ ที่แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่าง “รหัสไปรษณีย์” ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างหมุนไปเร็วขึ้น

แหล่งที่มาของเนื้อหา

https://en.wikipedia.org/wiki/Postal_code
https://www.britannica.com/topic/postal-code
https://postalmuseum.si.edu/research-articles/flashing-across-the-country/a-zoning-system-in-development
https://en.wikipedia.org/wiki/Postcodes_in_the_United_Kingdom
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_postal_codes
https://www.nationthailand.com/thailand/policies/40022652d

Tariff คืออะไร? อาวุธทางเศรษฐกิจที่อเมริกาใช้สู้กับทั้งโลก

เมื่อพูดถึง “Tariff” หรือ ภาษีนำเข้า หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องของภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้านำเข้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว Tariff คือ เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน และยังคงเป็น “อาวุธ” สำคัญที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปกป้องเศรษฐกิจในประเทศและต่อรองกับคู่ค้า

ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจประวัติของ Tariff ตั้งแต่ยุคแรก ๆ จนถึงปัจจุบัน พร้อมอธิบายว่าเหตุใด อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงนำกลับมาใช้อย่างเข้มข้น และผลกระทบต่อการค้าโลกและประเทศไทยเป็นอย่างไร

ประวัติของ Tariff: จากรายได้รัฐสู่เครื่องมือการเมือง

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18–19 รายได้หลักของรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาจาก Tariff เนื่องจากยังไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐบาลจึงต้องเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปเป็นหลัก นอกจากจะสร้างรายได้ให้รัฐแล้ว Tariff ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ปกป้องอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ของอเมริกา

แนวคิดนี้เรียกว่า Protectionism หรือ “การคุ้มครองทางการค้า” ที่มีเป้าหมายคือ ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศแทน

ในยุคเดียวกันนี้ หลายประเทศในยุโรปก็ใช้มาตรการลักษณะเดียวกัน เช่น อังกฤษที่มี “Corn Laws” เพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ จนกลายเป็นบรรทัดฐานของการใช้ ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์

Tariff ในศตวรรษที่ 20: จาก Great Depression สู่การค้าเสรี

แม้ว่า Tariff จะถูกใช้มาตลอด แต่ก็มีผลลัพธ์ด้านลบที่สำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Smoot-Hawley Tariff Act ปี 1930 ที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสูงมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) มาตรการนี้ทำให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากอเมริกา เช่นกัน ส่งผลให้การค้าโลกลดลงและเศรษฐกิจโลกยิ่งทรุดหนัก

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกา และพันธมิตรจึงหันไปสร้างระบบ การค้าเสรี (Free Trade) ภายใต้ GATT และต่อมาคือ WTO เพื่อลดกำแพงภาษีและป้องกันไม่ให้เกิด “สงครามการค้า” อีกครั้ง

Tariff ในยุคทรัมป์: การกลับมาของสงครามการค้า

แม้โลกจะเคลื่อนไปสู่เสรีการค้า แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปี 2017–2021 ได้หยิบ Tariff มาใช้เป็นอาวุธอีกครั้ง โดยเฉพาะกับ ประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า จีนเอาเปรียบอเมริกา ทั้งด้านดุลการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผลลัพธ์คือเกิดสิ่งที่ถูกเรียกว่า สงครามการค้า (Trade War) ที่สั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

นอกจากจีนแล้ว ทรัมป์ยังใช้ Tariff กดดันสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เพื่อบังคับให้ย้ายฐานการผลิตกลับอเมริกา และสร้างงานในประเทศ

Tariff คือกำแพงที่กีดกัน แต่ก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

แม้ Tariff จะช่วยปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ แต่ก็มี ผลเสียในระยะยาว คือทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนเพิ่ม อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของอเมริกา เช่นกัน

ในกรณีของสงครามการค้าสหรัฐ–จีน งานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ธุรกิจอเมริกันและผู้บริโภคในสหรัฐเอง คือผู้ที่รับภาระต้นทุน Tariff มากที่สุด ไม่ใช่จีนตามที่ตั้งใจ เพราะสินค้านำเข้ามีความจำเป็นในห่วงโซ่อุปทาน

ผลกระทบของ Tariff ต่อไทยและผู้ส่งออก

สำหรับประเทศไทย Tariff ของอเมริกา ส่งผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกที่ขายสินค้าไปยังตลาดอเมริกา สินค้าอย่าง สิ่งทอ เสื้อผ้า อาหารแปรรูป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ล้วนได้รับผลกระทบ

ในปี 2025 อเมริกา ปรับลดฐานจากการคาดการณ์ภาษีตอบโต้ 36% เหลือ 19% แต่ก็ยังเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้การส่งออกครึ่งปีหลังชะลอตัวอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์คาดว่าภาพรวมทั้งปีการส่งออกไทยจะเติบโตได้เพียง 1.5–4% เท่านั้น แม้ครึ่งปีแรกจะขยายตัวสูงถึง 15%

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่ง ปรับกลยุทธ์ เช่น กระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ หรือใช้บริการศูนย์กระจายสินค้า (Fulfillment Center) ในต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษี

บทเรียนจาก Tariff: อาวุธทางเศรษฐกิจที่ไม่มีวันตาย

สิ่งที่เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์คือ Tariff ไม่ได้หายไปไหน มันถูกหยิบมาใช้ซ้ำทุกครั้งที่ประเทศมหาอำนาจต้องการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจหรือการเมือง

จากศตวรรษที่ 18 ที่ Tariff เป็นรายได้หลักของอเมริกา → สู่ยุค Great Depression ที่ Tariff ทำเศรษฐกิจโลกทรุด → จนถึงยุคทรัมป์ที่ Tariff กลับมาเป็นอาวุธในสงครามการค้า

สำหรับผู้ส่งออกไทย นี่คือ “สัญญาณเตือน” ว่าการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปอาจเสี่ยงอย่างยิ่ง และการปรับตัวอย่างรวดเร็วคือกุญแจรอดพ้นจากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก


แหล่งที่มา

  • Kasikorn Research Center. (2025). การส่งออกไทยครึ่งปีแรกโตแรง ก่อนเจอมาตรการภาษีอเมริกา ครึ่งปีหลังชะลอตัว. Kasikorn Research
  • White House. (2025). Suspending Duty-Free de minimis Treatment. Whitehouse.gov
  • FedEx. (2025). Regulatory Alert: Elimination of de minimis imports. FedEx.com

WTO & Trade History. Tariffs and protectionism in historical context. WTO.org

วิธีการรับมือกำแพงภาษีจากต่างประเทศ | SME Shipping

ผู้ประกอบการไทย ควรรับมือกับกำแพงภาษีจากต่างประเทศอย่างไร

ในโลกของการค้าเสรี ความสามารถในการแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพหรือราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “อุปสรรคทางการค้า” ที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ กำแพงภาษี (Tariff Barriers) ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศปลายทาง ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญหน้า โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและนโยบายการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วผู้ส่งออกไทยจะปรับตัวยังไงให้รอดและโต?  ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ประกอบการควรรู้และรับมืออย่างไรกับสถานการ์การค้าแบบนี้ 

กำแพงภาษี มีผลอย่างไรต่อการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ?

กำแพงภาษี คือการเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าไทยในประเทศปลายทาง สูงขึ้น และ แข่งขันได้ยากลง เมื่อเทียบกับสินค้าภายในประเทศหรือคู่แข่งจากประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษี ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่:

  • ยอดขายลดลง เพราะผู้บริโภคเลือกสินค้าที่ถูกกว่า
  • กำไรหาย จากการต้องลดราคาขายเพื่อรักษาลูกค้า
  • เสียเปรียบด้านเวลาและต้นทุน จากกระบวนการตรวจสอบเอกสารและชำระภาษีเพิ่มเติม

กระทบสินค้าส่งออกอะไรบ้าง?

สินค้าจากไทยที่มักได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีต่างประเทศ เช่น:

  • สินค้าเกษตร: ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผลไม้แปรรูป
  • สินค้าอุตสาหกรรม: เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • สินค้าแฟชั่นและสิ่งทอ: เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศปลายทางไม่มีข้อตกลง FTA กับไทย หรือยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษี (เช่น GSP) ก็ยิ่งทำให้สินค้าของไทยแพงขึ้นทันที

รัฐบาลไทย รับมืออย่างไร?

รัฐบาลมีมาตรการหลายอย่างเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือกับกำแพงภาษี เช่น:

  • เจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าใหม่ เช่น อียู อินเดีย กลุ่ม Mercosur
  • ส่งเสริมการขอใช้สิทธิพิเศษภาษี เช่น FTA Form D, Form E หรือ CPTPP
  • สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและอบรมผู้ประกอบการ ผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมศุลกากร
  • สร้างตราสินค้าและมาตรฐานใหม่ เพื่อให้สินค้าสามารถแข่งขันด้านมูลค่า ไม่ใช่แค่ราคา เช่น การรับรองคุณภาพ ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม

การเลือก “ตลาดส่งออกที่มีภาษีต่ำ” หรือ “ตลาดที่ไทยมีข้อตกลง FTA” ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ ลดต้นทุน และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่หลายประเทศเริ่มกลับมาใช้กำแพงภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในประเทศ ซึ่งการวางแผนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี FTA (Free Trade Agreement) สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคง

ยกตัวอย่างการใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ เช่น:

  • ผู้ผลิตผลไม้แปรรูป
  • ส่งออกไปจีน ใช้ Form E
  • ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า 100%
  • คู่แข่งจากเวียดนามที่ไม่มีสิทธิ์ Form E ถูกเก็บภาษี 10%  สินค้าไทยได้เปรียบด้านราคา

กำแพงภาษีคือความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้ หากเข้าใจระบบภาษีนำเข้าอย่างดี และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยมีอยู่ ผู้ประกอบการสามารถ

กฏหมายขนส่งต่างประเทศที่ควรรู้ | SME Shipping

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศที่ผู้ประกอบการต้องรู้

การส่งออกหรือนำเข้าสินค้าไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน การเลือกบริษัทขนส่ง หรือภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจ “กำหนดความสำเร็จหรือความเสี่ยง” ของธุรกิจ นั่นก็คือ “ข้อกฎหมายด้านการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งหากผู้ประกอบการละเลยหรือไม่เข้าใจให้ดี อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น สินค้าถูกยึด ติดศุลกากร หรือถูกฟ้องร้องในต่างประเทศได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่ากฎหมายขนส่งต่างประเทศสำคัญอย่างไร และเรื่องไหนที่คุณควรรู้ไว้ก่อนทำการค้าโลก

ทำไม “ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศ” ถึงสำคัญ?

เมื่อธุรกิจเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ สิ่งที่ผู้ประกอบการมักให้ความสำคัญคือเรื่องราคา การขนส่ง และภาษีนำเข้า แต่มีอีกหนึ่งองค์ประกอบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบต่อทั้งต้นทุน ระยะเวลา และความปลอดภัยของสินค้าได้โดยตรง หากไม่เข้าใจหรือดำเนินการผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การสูญเสียทางธุรกิจได้อย่างไม่คาดคิด แล้วทำไมกฎหมายเหล่านี้จึงมีน้ำหนักมากขนาดนี้?

  1. ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย เพราะการไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศปลายทาง เช่น สินค้าต้องห้าม สินค้าควบคุม หรือข้อกำหนดบรรจุภัณฑ์ อาจทำให้สินค้า ถูกกักไว้ หรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก
  2. ป้องกันปัญหาทางธุรกิจ หากขนส่งผิดเงื่อนไขหรือเอกสารไม่ครบตามกฎหมาย อาจทำให้ลูกค้าปลายทางรับสินค้าไม่ได้ หรือเกิดปัญหาเรื่อง ความรับผิดชอบระหว่างผู้ส่ง-ผู้ขนส่ง-ผู้รับได้
  3. เสริมภาพลักษณ์มืออาชีพ ซึ่งลูกค้าต่างประเทศย่อมวางใจหากผู้ประกอบการมีความรู้เรื่องกฎหมายและสามารถจัดการเอกสารหรือข้อกำหนดข้ามประเทศได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนส่งออกสินค้า

  1. INCOTERMS คือเงื่อนไขทางการค้าสากลที่กำหนด ความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และเอกสารต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนของการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ภาษีศุลกากร หรือความเสียหายของสินค้า เช่น FOB, CIF, DDP ฯลฯ ระบุความรับผิดชอบเรื่องค่าขนส่ง ภาษี และความเสี่ยงในระหว่างการขนส่ง
  2. HS Code และข้อจำกัดของสินค้า ที่มีรหัสศุลกากร (HS Code) บ่งชี้ประเภทสินค้าเพื่อใช้คำนวณภาษีและตรวจสอบข้อจำกัด เช่น สินค้าบางประเภทต้องมีใบอนุญาตพิเศษหรือห้ามส่งออกไปยังบางประเทศ
  3. กฎหมายศุลกากรของประเทศปลายทาง ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎที่ไม่เหมือนกัน เช่น ออสเตรเลียมีข้อกำหนดเข้มงวดเรื่องไม้และอาหาร หรือสหรัฐฯ มีข้อจำกัดกับสินค้าจากบางประเทศ
  4. กฎหมายการขนส่งระหว่างประเทศ (เช่น Hague-Visby, Hamburg Rules) กำหนดความรับผิดชอบของบริษัทขนส่ง กรณีเกิดความเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง
  5. เอกสารทางการค้า เช่น Invoice, Packing List, ใบขนสินค้า, ใบรับรองแหล่งกำเนิด (CO), ใบอนุญาตส่งออก/นำเข้า เอกสารเหล่านี้ต้องถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายของทั้งสองประเทศ

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศเป็น “เรื่องจำเป็น” ที่ผู้ประกอบการควรเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะการเข้าใจในข้อกฎหมายไม่เพียงแค่เพื่อความปลอดภัยของสินค้าและชื่อเสียงของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วย

ภาษีนำเข้าและนโยบายของทรัมป์ น่ากลัวขนาดไหน? | SME Shipping

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ส่งของทางเรือ หรือ ส่งทางอากาศแบบประหยัดดีกว่ากัน? | SME Shipping

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ยากไหม หากผู้ประกอบการดำเนินเอกสารด้วยตนเอง | SME Shipping

ยากไหม? หากผู้ประกอบการจะดำเนินการนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

การนำเข้าส่งออกสินค้าเป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย พิธีการศุลกากร เอกสารต่างประเทศ และระบบโลจิสติกส์ ซึ่งฟังดูอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มสนใจเรียนรู้และดำเนินการด้วยตนเอง เพื่อประหยัดต้นทุนและควบคุมกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม การนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ซึ่งบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องควรรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้หากต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเอง

1. การจดทะเบียนและขอรหัสประจำตัวผู้ประกอบการ (Exporter/Importer Code)

ก่อนจะสามารถนำเข้าส่งออกได้ ผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกกับกรมศุลกากร ผ่านระบบ e-Customs โดยจะได้รับรหัสประจำตัว (Customs Registration ID) เพื่อใช้ในการระบุตัวตนในระบบของกรมศุลกากรทุกครั้งที่ทำธุรกรรม *แนะนำให้ดำเนินการขอรหัสตั้งแต่ก่อนเริ่มธุรกิจจริง เพื่อให้พร้อมเมื่อมีคำสั่งซื้อ

2. การเรียนรู้เรื่องพิกัดศุลกากร (HS Code)

HS Code (Harmonized System Code) เป็นรหัสตัวเลข 6-10 หลักที่ใช้จำแนกประเภทสินค้าในระดับสากล ซึ่งจะส่งผลต่อ

  • อัตราภาษีที่ต้องชำระ
  • ความจำเป็นในการขอใบอนุญาต
  • ข้อจำกัดเฉพาะของสินค้า (เช่น อาหาร, ยา, เครื่องมือแพทย์ ฯลฯ) หากใส่รหัสผิด สินค้าอาจโดนยึด ติดด่าน หรือถูกปรับย้อนหลังได้

3. เอกสารที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าส่งออก

ผู้ประกอบการต้องจัดเตรียมเอกสารต่างๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร รับ-ส่งสินค้า ยืนยันข้อมูลกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการ โดยเอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียม เช่น

  • Commercial Invoice: รายการสินค้า ราคาขาย
  • Packing List: รายละเอียดการบรรจุหีบห่อ
  • Bill of Lading / Air Waybill: เอกสารขนส่ง
  • ใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก (หากจำเป็น)
  • C/O (Certificate of Origin): เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เขตการค้าเสรี (FTA)

4. ความรู้เรื่องภาษีและอากร

ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเองจะต้องมีความรู้เรื่องภาษีและอากรเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหารเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง รวมทั้งนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนที่แท้จริงต้องรวมในสินค้าแต่ละครั้งที่ส่งออก อาทิ ภาษีนำเข้า (Import Duty) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และ ภาษีสรรพสามิต (ในบางประเภทสินค้า เช่น สุรา น้ำหอม เครื่องใช้ไฟฟ้า)

5. พิธีการศุลกากรและระบบ e-Customs

ทุกการนำเข้าส่งออกต้องผ่านการยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น

  • e-Customs: สำหรับยื่นใบขนสินค้า
  • NSW (National Single Window): สำหรับขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ แบบออนไลน์

หากยังไม่มีความชำนาญ อาจใช้ ตัวแทนออกของ (Customs Broker) ช่วยดำเนินการในช่วงเริ่มต้นก่อน

6. การเลือกบริษัทขนส่งหรือชิปปิ้ง (Freight Forwarder / Shipping Agent)

ในการนำเข้าส่งออกสินค้า “การขนส่ง” ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับต้นทุน เวลา และความปลอดภัยของสินค้าโดยตรง แม้ผู้ประกอบการจะดำเนินพิธีการศุลกากรด้วยตนเองได้ แต่ก็มักต้องอาศัย บริษัทขนส่ง (Freight Forwarder) หรือ ชิปปิ้ง (Shipping Agent) ในการจัดการขนส่งระหว่างประเทศและดูแลเอกสารขนส่งที่ซับซ้อน เช่น

  • แนะนำเส้นทางที่ประหยัด
  • เจรจากับสายเรือ/สายการบิน
  • ตรวจสอบเอกสารขนส่งให้ถูกต้อง

แม้ว่าการนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองจะมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่หากผู้ประกอบการมีความตั้งใจเรียนรู้ เข้าใจระบบ และวางแผนอย่างรอบคอบ ก็สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งประหยัดต้นทุนในระยะยาวอีกด้วย