ทำไม Green Logistics คือสิ่งที่คุณควรใส่ใจ | SME Shipping

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

7 เคล็ดลับในการจัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศ | SME Shipping

กลยุทธ์จัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศให้เวิร์ก

เมื่อแบรนด์หรือธุรกิจไทยเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้สินค้าเข้าถึงใจผู้บริโภคได้คือ “โปรโมชั่น” แต่การจัดโปรโมชั่นให้เวิร์กในแต่ละประเทศไม่สามารถใช้สูตรเดียวกันได้เสมอไป ซึ่งหากผู้ประกอบการต้องการให้แคมเปญ/โปรโมชั่นส่งเสริมการขายประสบความสำเร็จในระดับสากล ต้องรู้จักกลยุทธ์ที่เหมาะกับบริบทของตลาดประเทศนั้น และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูแนวทางที่จะช่วยให้การจัดโปรโมชั่นในต่างประเทศมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ลูกค้าในยุคนี้

1. ศึกษาพฤติกรรมและวัฒนธรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ

ก่อนวางแผนโปรโมชั่น สิ่งสำคัญคือการเข้าใจว่าผู้บริโภคในแต่ละประเทศมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าอย่างไร เช่น ผู้บริโภคในญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับคุณภาพและแบรนด์มากกว่าราคา ขณะที่ในอินเดียหรือฟิลิปปินส์ ผู้คนอาจตอบสนองได้ดีต่อโปรโมชันแบบลดแลกแจกแถม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาถึงวัฒนธรรมและเทศกาลเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นจุดขายหรือธีมของโปรโมชั่นให้เข้ากับท้องถิ่นได้มากยิ่งขึ้น เช่น

  • ญี่ปุ่น: เน้นคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ
  • อินเดีย: ชอบโปรโมชั่นที่ให้ความคุ้มค่า
  • จีน: ให้ความสำคัญกับโปรโมชั่นช่วงเทศกาล เช่น 11.11 (วันคนโสด)

2. กำหนดเป้าหมายของโปรโมชั่นให้ชัดเจน

การจัดโปรโมชั่นไม่ควรทำเพียงเพราะคู่แข่งทำ แต่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มยอดขายในช่วงสั้นๆ, กระตุ้นการทดลองใช้สินค้าใหม่ หรือสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หากเป้าหมายต่างกัน รูปแบบและข้อความของโปรโมชันก็ต้องปรับให้เหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่วางไว้

3. เลือกรูปแบบโปรโมชั่นให้เหมาะกับตลาดนั้นๆ

ประเภทของโปรโมชั่นที่ใช้ได้ผลในไทย อาจใช้ไม่ได้ในประเทศอื่น เช่น Flash Sale หรือโปรโมชั่นแบบจำกัดเวลานิยมในตลาดตะวันตกที่ผู้บริโภคตอบสนองต่อความเร่งด่วน ในขณะที่บางตลาดนิยมโปรแบบซื้อ 1 แถม 1 หรือรับของแถมที่ให้ความรู้สึก “คุ้มค่า” มากกว่า การเลือกกลยุทธ์โปรโมชั่นจึงควรอ้างอิงจากพฤติกรรมเฉพาะของผู้บริโภคในตลาดเป้าหมายนั้น (โปรโมชั่นตามเทศกาลท้องถิ่น)

4. ปรับการตลาดให้เข้ากับแต่ละท้องถิ่น (Localized Marketing)

การทำการตลาดแบบ Localized คือกุญแจสำคัญของโปรโมชั่นที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เพราะผู้บริโภคแต่ละพื้นที่มีรสนิยม ภาษา และความเชื่อที่แตกต่างกัน แคมเปญจึงต้องสื่อสารด้วยภาษาที่สอดคล้องกับบริบท วัฒนธรรม และความนิยมในท้องถิ่น ไม่ใช่แค่แปลภาษาแบบตรงตัว นอกจากนี้ การใช้ Influencer หรือพรีเซนเตอร์ที่เป็นที่รู้จักในประเทศนั้น จะช่วยสร้างความเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ลึกยิ่งขึ้น

5. สื่อสารโปรโมชั่นอย่างชัดเจนและเหมาะสมกับช่องทางในแต่ละประเทศ

การเลือกช่องทางในการสื่อสารถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจของความสำเร็จ ซึ่งการทำการตลาดควรเลือกช่องทางให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่  เลือกใช้แพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคของประเทศนั้น เช่น

  • จีน: WeChat, Tmall
  • ญี่ปุ่น: LINE, Rakuten
  • สหรัฐฯ / ยุโรป: Instagram, TikTok, Facebook

6. วัดผลและปรับกลยุทธ์โปรโมชันอย่างต่อเนื่อง

การวัดผลคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโปรโมชั่นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แคมเปญที่ดีควรถูกติดตามและวิเคราะห์ผลแบบเรียลไทม์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ปรับปรุงแผนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านต้นทุน ประสิทธิภาพ หรือความคุ้มค่า ตัวชี้วัดที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่

  • อัตราการคลิก (CTR)
  • ยอดขายจากแคมเปญ
  • Conversion Rate
  • จำนวนผู้ใช้โค้ดส่วนลด

7. ร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น เพื่อเข้าถึงตลาดอย่างแท้จริง

การมีพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจบริบทของประเทศปลายทางจะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับตัวเข้ากับตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่าย เอเจนซี่โฆษณา หรือ Influencer ในพื้นที่ คนเหล่านี้มีข้อมูลเชิงลึกที่แบรนด์ไม่สามารถหาได้จากการวิเคราะห์ทั่วไป และสามารถให้คำแนะนำ ฟีดแบ็ก หรือแม้แต่ช่วยออกแบบแคมเปญที่เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในพื้นที่ได้โดยตรง

 การจัดกลยุทธ์จัดโปรโมชั่นสำหรับตลาดต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ส่วนลดเท่าไหร่แต่อยู่ที่การเข้าใจพฤติกรรม วัฒนธรรม และการสื่อสารอย่างถูกจังหวะ ถ้าคุณสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดท้องถิ่นได้ดี โอกาสที่แบรนด์จะเติบโตในระดับสากลก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม 

พฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ในต่างประเทศที่ควรรู้ | SME Shipping

เจาะพฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ต่างประเทศ ขายอย่างไรให้โดนใจ?

ในโลกที่การตลาดออนไลน์ไม่มีพรมแดน ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากขึ้นผ่านสื่อออนไลน์ทำให้เกิดการปรับตัว และทำการตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการไทยจำนวนมากเริ่มหันไปจับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลก แต่การจะ “ขายดี” ได้นั้น ไม่ใช่แค่มีสินค้าดีหรือราคาถูกเท่านั้น เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นช่องทางที่นิยมใช้ วิธีการชำระเงิน การเลือกสินค้า หรือแม้แต่ความคาดหวังต่อการบริการหลังการขาย ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ซื้อจากจีน อเมริกา หรือยุโรปคิดอย่างไรเวลาช้อปออนไลน์ และต้องปรับกลยุทธ์แบบไหนให้โดนใจที่สุด

เจาะพฤติกรรมผู้ซื้อออนไลน์ต่างประเทศ

1. อเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ / แคนาดา)

  • ผู้บริโภคในอเมริกาให้ความสำคัญกับความง่ายในการสั่งซื้อ เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ใช้งานง่าย
  • ความโปร่งใสในการจัดส่ง เห็นวันที่จัดส่งที่แน่นอน มี Tracking ชัดเจน
  • นิยมใช้บัตรเครดิต / PayPal
  • รีวิวสำคัญมาก: รีวิวจากลูกค้าคนก่อนมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสูง

2. ยุโรป (เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร)

  • สนใจสินค้ายั่งยืน / รักษ์โลก
  • ชอบเว็บที่มีข้อมูลบริษัทชัดเจน มีนโยบายคืนสินค้ารองรับ
  • ชาวยุโรปมักต้องการอ่านเว็บไซต์เป็นภาษาท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ
  • นิยมใช้การโอนผ่านธนาคาร (SEPA), PayPal, Klarna

3. เอเชียตะวันออก (จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้)

  • ซื้อผ่านมือถือเป็นหลัก
  • ชอบโปรโมชั่นและแฟลชเซลล์
  • ลูกค้าจีนจะใช้แอปพลิเคชั่นเฉพาะ เช่น WeChat Pay / Alipay
  • ความเร็วในการตอบแชท / บริการลูกค้าคือหัวใจ

4. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์)

  • ช้อปผ่านโซเชียล (Facebook / TikTok / Instagram)
  • มีพฤติกรรม “ดูของนาน ตัดสินใจเร็วเมื่อมีโปร”
  • นิยมเก็บเงินปลายทาง (COD)

กลยุทธ์การขายให้โดนใจลูกค้าต่างประเทศ

1.ปรับเนื้อหาให้ Localized ใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายในแต่ละประเทศ และใส่คำอธิบายสินค้าให้ละเอียด มีภาพหลายมุม วิดีโอสาธิตช่วยเพิ่ม Conversion

2. เลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะกับแต่ละตลาด ดังนี้

  • จีน: JD.com, Tmall
  • อเมริกา/ยุโรป: Amazon, Etsy
  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: Shopee, Lazada, TikTok Shop
  • โซเชียลคอมเมิร์ซ: Facebook / TikTok Live ก็มาแรงในหลายประเทศ

3. รองรับช่องทางชำระเงินท้องถิ่น

  • เพิ่มความมั่นใจด้วยระบบจ่ายเงินที่ผู้ซื้อคุ้นเคย
  • ใช้ Payment Gateway อย่าง Stripe, PayPal, 2C2P ที่รองรับหลายประเทศ

4. มีระบบขนส่งระหว่างประเทศที่ไว้ใจได้

  • จัดส่งไว มีระบบ Tracking และมีบริการรับคืนสินค้า (ถ้าเป็นไปได้)
  • ใช้โลจิสติกส์แบบ Fulfillment เช่น Fulfillment by Amazon (FBA), SME Shipping

5. สร้างความน่าเชื่อถือ

  • รีวิวจากลูกค้า / คะแนนร้านค้า / การันตีคุณภาพ
  • มีหน้า About Us / แสดงใบรับรอง / การันตีความปลอดภัยของข้อมูล

การขายออนไลน์ในตลาดโลก ไม่ใช่แค่แปลเว็บไซต์ แต่ต้องเข้าใจลึกถึง พฤติกรรม วัฒนธรรม ช่องทางการซื้อ และความคาดหวังของลูกค้า ในแต่ละพื้นที่ แล้วปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม ทั้งช่องทางขาย รูปแบบโปรโมชั่น วิธีจ่ายเงิน

Export License คืออะไรกับสิ่งที่คุณควรรู้ | SME Shipping

Export License คืออะไร? ใครบ้างที่ต้องใช้ใบอนุญาตนี้

 การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย อย่างไรก็ตาม การส่งออกไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดเตรียมสินค้าแล้วจัดส่งไปยังปลายทางเท่านั้น เพราะยังมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในกรณีที่สินค้านั้นอยู่ในกลุ่มควบคุมของภาครัฐ ซึ่งผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องมี ใบอนุญาตส่งออก (Export License) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping  จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า Export License คืออะไร และใครบ้างที่ต้องขอใบอนุญาตนี้ก่อนส่งออกสินค้า

Export License คืออะไร?

Export License หรือ ใบอนุญาตส่งออก คือ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกสินค้าบางประเภทไปยังต่างประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมักใช้สำหรับสินค้าที่รัฐบาลควบคุมหรือมีข้อกำหนดพิเศษในการส่งออก เช่น สินค้าเกษตรบางชนิด, สินค้าอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีเฉพาะ, สินค้าเกี่ยวกับอาวุธ, สินค้าที่อาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ

ทำไมจึงต้องมีใบอนุญาตส่งออก?

ใบอนุญาตส่งออก (Export License) เป็นเอกสารที่แสดงว่าคุณได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องจากหน่วยงานรัฐในการส่งออกสินค้าบางประเภท ซึ่งจำเป็นเพื่อ:

  • ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย สำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
  • ป้องกันปัญหาด้านศุลกากร ในกรณีที่ประเทศปลายทางต้องการเอกสารยืนยันความถูกต้อง
  • ลดความเสี่ยงในการถูกระงับหรือยึดสินค้า หากถูกตรวจสอบและพบว่าไม่มีใบอนุญาตที่จำเป็น

ใครบ้างที่ต้องใช้ Export License?

ไม่ใช่ทุกคนที่ส่งออกสินค้าจะต้องใช้ใบอนุญาตนี้ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการต่อไปนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องขอ Export License :

  1. ส่งออกสินค้าที่อยู่ในกลุ่มควบคุมของรัฐ เช่น ข้าว, น้ำตาล, แร่, ปืน, สัตว์มีชีวิต, ไม้แปรรูป, หรือวัตถุอันตราย สามารถดูรายการสินค้าที่ควบคุมได้จากกรมการค้าต่างประเทศ
  2. ส่งออกไปยังประเทศที่ถูกควบคุมหรือมีข้อจำกัดด้านการค้า เช่น ประเทศที่อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตร (sanction list) หรือประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมือง
  3. มีข้อกำหนดเฉพาะจากประเทศปลายทาง บางประเทศต้องการให้มีใบอนุญาตส่งออกจากประเทศต้นทางเป็นเงื่อนไขในการนำเข้า
  4. ส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา เช่น โปรแกรมซอฟต์แวร์ เครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งอาจต้องมีการตรวจสอบก่อนอนุญาต

การส่งออกโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจะมีผลกระทบอย่างไร?

การส่งออกสินค้าโดยไม่มีใบอนุญาตที่จำเป็นอาจส่งผลร้ายแรง เช่น:

  • ถูกปฏิเสธการผ่านศุลกากร ทั้งฝั่งไทยและต่างประเทศ
  • สินค้าถูกยึดหรืออายัด ทำให้เกิดความเสียหายทางการเงิน
  • ถูกปรับหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย มีโทษปรับหรือจำคุกตามพระราชบัญญัติที่ควบคุมสินค้านั้น
  • กระทบต่อภาพลักษณ์ธุรกิจ และความเชื่อมั่นจากคู่ค้า

หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตส่งออกในประเทศไทย

สำหรับหน่วยงานที่สามารถออกใบอนุญาตส่งออกในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็น กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือหน่วยงานเฉพาะด้าน เช่น

  • กรมโรงงานอุตสาหกรรม (สำหรับเคมีภัณฑ์)
  • กรมป่าไม้ (สำหรับไม้และผลิตภัณฑ์ไม้)
  • กรมประมง, กรมปศุสัตว์ (สำหรับสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์)

 ใบอนุญาตส่งออก “จำเป็น” สำหรับผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าควบคุมหรือมีข้อกำหนดพิเศษ ซึ่งผู้ประกอบการควรตรวจสอบประเภทสินค้าและข้อกำหนดของประเทศปลายทางทุกครั้งก่อนดำเนินการส่งออก เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เกิดการสูญ้สียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่จำเป็นได้

Title FTA โอกาสลดภาษีที่ผู้ประกอบการควรทราบ | SME Shipping

FTA (Free Trade Agreement) กับโอกาสลดภาษีสำหรับ SME ไทย

แนวคิดเรื่อง FTA (Free Trade Agreement) หรือ ข้อตกลงการค้าเสรี ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่เปิด “ประตูโอกาส” ให้กับ SME ไทย ในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศด้วยต้นทุนที่ลดลง โดยเฉพาะในแง่ของ “ภาษีนำเข้า” ที่สามารถลดลงจนถึง 0% ในหลายกรณี หากรู้จักใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA อย่างถูกต้อง เปรียบเสมือน “บัตรผ่านแดนธุรกิจ” ที่ช่วยให้สินค้าไทยเข้าถึงตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องแบกรับภาระภาษีที่ถ่วงความสามารถในการแข่งขัน และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ประกอบการ SME ไทยควรรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ FTA

FTA คืออะไร?

FTA หรือ Free Trade Agreement คือ ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศขึ้นไป เพื่อส่งเสริมการค้าโดยการ “ลดหรือยกเลิกอุปสรรคทางการค้า” เช่น ภาษีนำเข้า-ส่งออก มาตรการทางภาษี หรือข้อจำกัดด้านปริมาณ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างกันให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สินค้าและบริการของแต่ละประเทศสามารถเคลื่อนย้ายข้ามเขตแดนได้ “อย่างเสรีและเป็นธรรม”

ไทยมี FTA กับใครบ้าง?

ปัจจุบันประเทศไทยมีข้อตกลง FTA ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคีกับหลายประเทศ เช่น:

  • อาเซียน
  • จีน
  • ญี่ปุ่น
  • เกาหลีใต้
  • ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์
  • อินเดีย
  • ชิลี – เปรู – ฮ่องกง
  • RCEP (ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค)

รวมแล้วครอบคลุม กว่า 18 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของการค้าระหว่างประเทศของไทย

ทำไม SME ไทยต้องรู้จัก FTA?

ในโลกการค้ายุคใหม่ที่การแข่งขันข้ามพรมแดนกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้ประกอบการ SME ไทย จำเป็นต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในต่างประเทศ เพราะมันคือ “ทางลัดลดต้นทุน เพิ่มกำไร” ให้กับการส่งออก สำหรับผู้ประกอบการไทย การทำความเข้าใจและใช้สิทธิประโยชน์จาก FTA จะช่วยให้

  1. ส่งออกสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในประเทศปลายทาง (ในบางรายการเหลือภาษี 0%)
  2. แข่งขันในตลาดโลกได้ง่ายขึ้น เพราะราคาสินค้าถูกลง
  3. ขยายตลาดไปยังประเทศที่มี FTA กับไทยได้อย่างมั่นใจ
  4. มีโอกาสเข้าถึงลูกค้ารายใหม่ที่เดิมอาจมีภาษีเป็นอุปสรรค

ผู้ประกอบการ SME จะใช้ประโยชน์จาก FTA ได้อย่างไร?

  1. ตรวจสอบว่าสินค้าของคุณได้รับสิทธิประโยชน์จาก FTA หรือไม่ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ของ กรมการค้าต่างประเทศ หรือระบบ FTA e-Tariff เพื่อตรวจสอบว่า สินค้าของคุณเข้าข่ายลดภาษีนำเข้าหรือไม่
  2. ยื่นขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO – Certificate of Origin) เพื่อแสดงว่าสินค้าของคุณผลิตในประเทศไทยตามข้อกำหนดของ FTA โดยสามารถยื่นขอได้ที่กรมการค้าต่างประเทศ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น e-Form D หรือ e-CO
  3. ศึกษา “กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า” (Rules of Origin – ROO) อย่างเข้าใจ ซึ่งแต่ละ FTA มีกฎเฉพาะว่า “สินค้าแบบใด” จึงจะถือว่าเป็นของที่ผลิตในไทย เช่น สินค้าต้องผลิตหรือประกอบขั้นสุดท้ายในประเทศไทย หรือมีการใช้วัตถุดิบในประเทศมากกว่าร้อยละที่กำหนด
  4. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ได้แก่ ใบกำกับภาษี, รายการวัตถุดิบ, เอกสารการผลิต, บิลขนส่ง และอื่น ๆ ที่จำเป็นในการประกอบการขอ CO
  5. ติดตามความเคลื่อนไหวของ FTA ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะไทยยังมีการเจรจาเปิดตลาดกับประเทศใหม่ ๆ เช่น EU, EFTA ฯลฯ

ตัวอย่าง SME ที่ได้ประโยชน์จาก FTA

  • ผู้ผลิตผลไม้อบแห้งส่งออกไปจีน ใช้สิทธิ์ FTA ไทย-จีน ลดภาษีนำเข้าเหลือ 0%
  • โรงงานเฟอร์นิเจอร์ไม้ส่งออกไปออสเตรเลีย ใช้ FTA ไทย-ออสเตรเลีย ลดภาษีลงหลายเท่าตัว
  • โรงงานเสื้อผ้าใช้กฎถิ่นกำเนิดที่ระบุว่า “ตัดเย็บในไทย” ทำให้ได้สิทธิลดภาษีในญี่ปุ่น

FTA ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่SME ไทยทุกระดับสามารถใช้เป็นเครื่องมือลดต้นทุน ส่งออกได้ง่ายขึ้น และเจาะตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากรู้จักเตรียมตัวและใช้ให้เป็นตั้งแต่วันนี้

Shipping API ตัวช่วยสำหรับร้านค้าออนไลน์ | SME Shipping

Shipping API คืออะไร? ตัวช่วยสำคัญสำหรับร้านค้าออนไลน์

ในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดการระบบขนส่งให้ทันสมัยและแม่นยำกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าแข่งขันได้เหนือกว่า ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในระบบโลจิสติกส์ยุคใหม่ก็คือ Shipping API ที่จะช่วยเชื่อมต่อร้านค้าของคุณกับผู้ให้บริการขนส่งภายนอก โดยทำให้กระบวนการคำนวณค่าส่ง การสร้างใบจ่าหน้า และการติดตามพัสดุเป็นไปอย่างราบรื่นและอัตโนมัติ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปค้นหาคำตอบว่า Shipping API คืออะไร? และสำคัญกับร้านค้าออนไลน์ในยุคนี้อย่างไรบ้าง

API คืออะไร?

API (Shipping API) คืออินเทอร์เฟซโปรแกรมประยุกต์ที่ช่วยให้เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้บริการขนส่งต่าง ๆ เช่น Kerry Express, Flash Express, DHL, ไปรษณีย์ไทย ฯลฯ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลด้วยตนเองหรือสลับระบบหลายขั้นตอน และถูกพัฒนาขึ้นมาใช้งาน ดังนี้

  • คำนวณอัตราค่าจัดส่งแบบอัตโนมัติ
  • จองและพิมพ์ใบจ่าหน้า
  • ติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์
  • เช็คพื้นที่ให้บริการและระยะเวลาการจัดส่ง

ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ Shipping API?

การใช้ Shipping API จะช่วยให้คุณสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นขึ้น จากข้อดีของ Shipping API ดังนี้

  1. ลดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล โดยการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดส่งโดยตรงกับผู้ให้บริการ
  2. คำนวณค่าส่งอัตโนมัติ ลดการคาดเดาราคาค่าส่งและทำให้การคำนวณแม่นยำยิ่งขึ้น
  3. ติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณและลูกค้าทราบสถานะการจัดส่งตลอดเวลา
  4. ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำหลายครั้ง และลดการทำงานด้วยมือ
  5. ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยการจัดส่งที่รวดเร็วและแม่นยำ

Shipping API ทำงานอย่างไร?

เมื่อมีคำสั่งซื้อ ระบบร้านค้าจะส่งข้อมูลที่จำเป็นไปยัง API ของผู้ให้บริการขนส่งที่เชื่อมต่ออยู่ เพื่อเรียกดูข้อมูลค่าบริการและรายละเอียดการจัดส่ง โดย API จะตอบกลับพร้อมข้อมูลสำคัญ เช่น

  • คำนวณค่าจัดส่งที่แม่นยำ ตามน้ำหนัก ขนาดพัสดุ และปลายทาง
  • แสดงตัวเลือกบริการขนส่ง ให้ลูกค้าเลือก เช่น ส่งด่วน, ส่งธรรมดา, หรือส่งแบบประหยัด
  • สร้างเลขพัสดุและใบจ่าหน้าอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการทำงานด้วยมือ และลดข้อผิดพลาด

กระบวนการทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ ช่วยให้การจัดส่งสินค้ารวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

วิธีเลือก Shipping API ที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าของคุณ

ในการเลือก Shipping API สำหรับร้านค้าออนไลน์ ผู้ประกอบการควรพิจารณาการใช้งานจากปัจจัยต่อไปนี้

  1. ความครอบคลุมของผู้ให้บริการขนส่ง: เลือก API ที่รองรับการเชื่อมต่อกับหลายผู้ให้บริการ
  2. การสนับสนุนแพลตฟอร์มของคุณ: ค้นหา API ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบร้านค้าของคุณได้ง่าย เช่น Shopify, WooCommerce, Magento
  3. เอกสาร API และการสนับสนุน: ตรวจสอบว่าเอกสารการใช้งานของ API ชัดเจนและรองรับการถามตอบปัญหาได้รวดเร็ว
  4. ฟีเจอร์ที่รองรับ: เลือก API ที่สามารถจัดการฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การติดตามหลายพัสดุพร้อมกัน, การสร้างรายงานการจัดส่ง

 กล่าวโดยสรุป Shipping API เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างระบบร้านค้าออนไลน์กับผู้ให้บริการขนส่ง ทำให้สามารถ ดึงข้อมูลการจัดส่งคำนวณค่าส่ง สร้างใบจ่าหน้า และติดตามสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำหลายรอบหรือสลับหน้าจอไปมาหลายระบบ ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ, Marketplace หรือโซเชียลมีเดีย การเชื่อมต่อกับ Shipping API จะช่วยให้คุณบริหารจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างมืออาชีพ ประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอนการจัดส่งนั่นเอง

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีและค่าธรรมเนียมภาษีนำเข้าปลายทาง | SME Shipping

ข้อควรระวังเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและภาษีนำเข้าสินค้าปลายทาง

แม้ว่าการส่งออกสินค้าในประเทศไทยจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 0%) แต่ผู้ประกอบการ ไม่ควรมองข้ามภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่ผู้รับปลายทางในต่างประเทศอาจต้องชำระ ซึ่งอาจมีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า และต้นทุนรวมของธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณศึกษาข้อควรระวังเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและภาษีนำเข้าสินค้าปลายทาง เพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น

ภาษีนำเข้าคืออะไร?

ภาษีนำเข้า (Import Duty) คือภาษีที่รัฐบาลของประเทศปลายทางเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ เพิ่มรายได้ของรัฐ และควบคุมประเภทของสินค้าที่เข้าประเทศ

อัตราภาษีนำเข้าจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้าและประเทศปลายทาง เช่น:

  • เสื้อผ้าแฟชั่น: 10–30%
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: 0–15%
  • อาหารและเครื่องดื่ม: อาจมีภาษีและข้อกำหนดด้านสุขอนามัยเพิ่ม

การคำนวณภาษีนำเข้า มักพิจารณาจาก:

  • มูลค่าของสินค้า (รวมค่าส่งและค่าประกัน)
  • รหัสพิกัดศุลกากร (HS Code)
  • กฎระเบียบของประเทศปลายทาง

ภาษีและอากรมีผลกระทบต่อการจัดส่งของคุณอย่างไร?

ภาษีและอากรนำเข้าอาจส่งผลโดยตรงต่อต่อการทำธุรกิจส่งออกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น

  1. ต้นทุนรวมปลายทางของลูกค้าที่ลูกค้าอาจต้องชำระภาษีเพิ่มเติมเมื่อรับสินค้า ทำให้ราคาสูงกว่าที่คาดไว้
  2. ความล่าช้าในการจัดส่ง ซึ่งหากเอกสารศุลกากรไม่ครบถ้วน หรือสินค้าต้องผ่านการตรวจสอบพิเศษ อาจทำให้จัดส่งล่าช้า
  3. ลูกค้าอาจไม่พอใจหากต้องจ่ายค่าภาษีโดยไม่รู้ล่วงหน้า หรือเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
  4. ความเสี่ยงในการปฏิเสธรับสินค้าหากค่าภาษีนำเข้าสูงเกินไป ลูกค้าอาจปฏิเสธการรับสินค้า ทำให้ผู้ขายต้องรับภาระคืนสินค้า

ภาษีและค่าธรรมเนียมที่ควรระวัง

1. ภาษีนำเข้า (Import Duties)

  • แต่ละประเทศมีอัตราภาษีนำเข้าแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและมูลค่า
  • สินค้าบางประเภทอาจได้รับยกเว้นภาษี หากอยู่ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)

2.ภาษีมูลค่าเพิ่มปลายทาง (VAT / GST)

  • หลายประเทศมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีบริการ (เช่น GST ในออสเตรเลีย, VAT ในสหภาพยุโรป)
  • แม้สินค้าจะได้รับยกเว้นภาษีจากฝั่งผู้ส่งออก แต่ผู้รับปลายทางอาจต้องชำระ VAT เมื่อของถึง

3. ค่าธรรมเนียมศุลกากร / ค่าดำเนินพิธีการ (Customs Clearance Fees)

  • บางประเทศมีการเรียกเก็บค่าดำเนินการนำเข้าสินค้าหรือค่าตรวจสอบพิเศษ
  • ควรสอบถามล่วงหน้ากับผู้ให้บริการโลจิสติกส์

 4. ค่าธรรมเนียมบริษัทขนส่ง (Handling Fee / Brokerage Fee)

  • บริษัทจัดส่ง เช่น DHL, FedEx หรือ UPS อาจมีค่าธรรมเนียมในการดำเนินเอกสารศุลกากรเพิ่มเติม

 ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ

  • แจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน ว่าอาจมีค่าใช้จ่ายปลายทางเพิ่มเติม
  • ศึกษาอัตราภาษีปลายทางล่วงหน้า หรือใช้บริการที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
  • ใช้ Incoterms ให้เหมาะสม เช่น:
  • DAP (Delivered At Place): ผู้ขายรับผิดชอบจนถึงปลายทาง แต่ลูกค้ารับผิดชอบภาษีนำเข้า
  • DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบทั้งค่าขนส่งและภาษีนำเข้าทั้งหมด

แม้ว่าจะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในฝั่งประเทศไทยได้ แต่ควรพิจารณา “ต้นทุนรวมถึงปลายทาง” เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่เกิดความเข้าใจผิด และสามารถวางแผนราคาขายระหว่างประเทศได้อย่างมืออาชีพตลอดจนดำเนินธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจได้แบบไม่มีสะดุด

เงื่อนไขการขอ VAT Refund สำหรับสินค้าส่งออก | SME Shipping

เงื่อนไขการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) สำหรับสินค้าส่งออก

การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ ถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ และยังสามารถสร้างมูลค่าการนำเข้าส่งออกได้ทุกปี และตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยนั้นได้กำหนดให้การส่งออกสินค้า เป็นรายการที่ได้รับยกเว้นภาษีในอัตรา 0% (Zero-rated VAT) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ส่งออกจะไม่ต้องเสีย VAT สำหรับสินค้าที่ส่งออก แต่สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระไว้กับผู้ขายวัตถุดิบ บริการ หรือสินค้าภายในประเทศได้ และบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูการขอคืนภาษี VAT ที่ได้ชำระไว้กับคู่ค้าในประเทศสำหรับสินค้า วัตถุดิบ หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด

1.ผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • เป็นผู้ประกอบการที่ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registered)
  • มีการ ส่งออกสินค้าจริงตามขั้นตอนทางกฎหมาย
  • มีหลักฐานและเอกสารประกอบที่ครบถ้วนและถูกต้อง 

2. เงื่อนไขสำคัญในการขอคืน VAT

2.1 เป็นรายการสินค้าส่งออกที่ได้รับสิทธิ์ VAT 0%

  • การส่งออกสินค้าจากไทยไปต่างประเทศโดยตรง
  • ต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าออกจากราชอาณาจักรแล้วจริง

2.2มีเอกสารพิสูจน์การส่งออกครบถ้วน

  • ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration)
  • ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
  • หลักฐานการขนส่ง เช่น ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading / Air Waybill)

2.3ยื่นคำขอคืนภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด

  • ภายใน 3 ปี นับจากวันที่ครบกำหนดการยื่นแบบ ภ.พ.30 ของเดือนที่เกี่ยวข้อง

3. เอกสารที่ต้องใช้ในการขอคืน VAT

  • แบบฟอร์ม ก.พ.10 (แบบคำขอคืนภาษี)
  • รายการภาษีซื้อ
  • ใบกำกับภาษี
  • สำเนาใบขนสินค้า / เอกสารการขนส่ง
  • เอกสารประกอบอื่น ๆ ที่กรมสรรพากรกำหนด 

4. วิธีการยื่นคำขอคืน VAT

  • ยื่นผ่าน สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนอยู่
  • หรือเลือก ยื่นแบบออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากร

สินค้าที่เข้าเกณฑ์ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund)

ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าที่นำไปส่งออกได้ เฉพาะกรณีที่สินค้าเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งโดยทั่วไปต้องเป็น สินค้าที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรอย่างแท้จริง พร้อมมีหลักฐานการส่งออกครบถ้วน

✅ ประเภทของสินค้าที่เข้าเกณฑ์

  • สินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยไปต่างประเทศ
  • ส่งทางเรือ, เครื่องบิน หรือพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ
  • ต้องมีใบขนสินค้าขาออกที่ผ่านการตรวจปล่อยจากกรมศุลกากร
  • สินค้าที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตและส่งออก
  • เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัตถุดิบอาหาร บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ
  • ต้องแสดงความเกี่ยวข้องกับสินค้าส่งออกจริง
  • สินค้าที่ขายให้ลูกค้าต่างประเทศและจัดส่งไปต่างประเทศโดยตรง
  • ไม่ใช่การขายให้บุคคลในประเทศแม้ลูกค้าจะอยู่ต่างประเทศ 

❌ สินค้าที่ไม่เข้าเกณฑ์

  • สินค้าที่มีการขายและบริโภคภายในประเทศ
  • สินค้าที่ส่งออกแบบ “ไม่มีใบขนสินค้า” หรือไม่มีหลักฐานการเคลื่อนย้ายออกจากประเทศ
  • สินค้าที่นำออกไปแต่ไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง

การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าส่งออกเป็นสิทธิ์ทางภาษีที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกรมสรรพากรอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธคำขอหรือเกิดปัญหาในภายหลัง โดยการขอคืนภาษีดังกล่าวมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของเอกสารประกอบการส่งออก การยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด รวมถึงลักษณะของสินค้าและบริการที่เข้าเกณฑ์ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้พลาดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่พึงได้รับนั่นเอง

วิธีการตรวจสอบสถานะการส่งพัสดุระหว่างประเทศ | SME Shipping

วิธีตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ ให้ลูกค้าอุ่นใจ

การส่งพัสดุระหว่างประเทศอาจทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกกังวล โดยเฉพาะเมื่อใช้เวลาจัดส่งนานกว่าการส่งภายในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ร้านค้าควรให้ข้อมูลและช่องทางการติดตามพัสดุอย่างชัดเจน ซึ่งบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูวิธีตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. แจ้งเลขพัสดุ (Tracking Number) หลังจากจัดส่งสินค้าแล้ว ควรแจ้งเลขพัสดุให้ลูกค้าทันที เพื่อให้สามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา

2. แนะนำเว็บไซต์ตรวจสอบสถานะพัสดุ ระบุเว็บไซต์หรือลิงก์สำหรับตรวจสอบสถานะพัสดุของแต่ละบริษัท เช่น:

  • DHL: https://www.dhl.com
  • FedEx: https://www.fedex.com
  • UPS: https://www.ups.com
  • ไปรษณีย์ไทย (EMS World): https://track.thailandpost.co.th

3. ติดตามผ่านแอปพลิเคชัน แนะนำให้ลูกค้าดาวน์โหลดแอปของบริษัทขนส่ง หรือแอปติดตามพัสดุรวม เช่น ParcelTrack, 17TRACK, AfterShip ที่สามารถเช็กสถานะได้หลายเจ้าในที่เดียว

4. อัปเดตสถานะเป็นระยะ หากระบบขนส่งไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ร้านค้าควรแจ้งสถานะให้ลูกค้าเป็นระยะ เช่น สินค้าออกจากคลัง / ถึงศูนย์กระจายสินค้า / อยู่ระหว่างดำเนินการศุลกากร เป็นต้น

ข้อดีของบริการตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ

การตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าสามารถติดตามความคืบหน้าของการจัดส่งสินค้าได้อย่างสะดวกและมั่นใจ ต่อไปนี้คือข้อดีของการตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ

1. เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า

การสามารถติดตามสถานะพัสดุทำให้ลูกค้ารู้ว่าพัสดุของพวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการจัดส่ง และสามารถคาดการณ์วันที่จะได้รับสินค้าตามเวลาที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการจัดส่งที่ล่าช้าหรือสูญหาย

2. ช่วยให้ร้านค้าบริหารจัดการการจัดส่งได้ดีขึ้น

ร้านค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุระหว่างการขนส่งได้โดยตรง ซึ่งทำให้สามารถประสานงานกับบริษัทขนส่งได้ทันทีหากเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดใดๆ การติดตามสถานะยังช่วยร้านค้าในการปรับปรุงการบริการและระยะเวลาจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น

3. ลดปัญหาการสูญหายหรือความล่าช้า

การตรวจสอบสถานะพัสดุช่วยให้สามารถรับทราบความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอนของการขนส่งได้ด้วยตนเอง ซึ่งหากในขั้นตอนการขนส่งเกิดความล่าช้าหรือปัญหาที่อาจทำให้พัสดุสูญหาย ก็จะสามารถแจ้งให้บริษัทขนส่งดำเนินการแก้ไขได้ทันที ทำให้ลดความเสี่ยงจากปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งระหว่างประเทศได้

4. ลดข้อร้องเรียนและการติดต่อสอบถาม

เมื่อลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุได้เอง ร้านค้าจะได้รับการร้องเรียนหรือสอบถามเกี่ยวกับสถานะการจัดส่งน้อยลง ซึ่งทำให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าสามารถประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการติดต่อสอบถามในระหว่างการจัดส่ง

การที่บรีษัทจนส่งเจ้าต่างๆ มีวิธีให้ลูกค้าได้ตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศด้วยตนเองได้ นับเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เพิ่มความสะดวกในการติดตามสถานะการจัดส่ง และช่วยลดความกังวลของลูกค้าที่อาจสั่งสินค้ามีราคาสูงแล้วต้องการติดามสถานะอยู่เสมอ อีกทั้งยังทำให้ร้านค้าสามารถจัดการการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดข้อร้องเรียนจากลูกค้าในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ด้วย ดังนั้น การตรวจสอบสถานะพัสดุจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการช็อปปิ้งของลูกค้า และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าของคุณได้เป็นอย่างดี

COD สามารถทำได้หรือไม่สำหรับการส่งต่างประเทศ | SME Shipping

COD (Cash on Delivery) สำหรับการส่งสินค้าต่างประเทศ ทำได้หรือไม่?

ในทุกวันนี้ที่การขายสินค้าบนโลกออนไลน์ มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ผู้ให้บรการเจ้าต่างๆ ต่างงัดกลยุทธ์มาแข่งขันกันเพื่อดึงดูดลูกค้า เริ่มตั้งแต่การจัดส่ง การบรรจุ และการชำระเงิน ซึ่งหนึ่งในวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมในตลาดภายในประเทศคือ “COD” ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าสินค้าจะมาถึงก่อนจ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการส่งสินค้าระหว่างประเทศ/ต่างประเทศ หลายคนอาจสงสัยว่า COD ยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่? แล้วมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอะไรที่ต้องรู้บ้าง? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของ “COD” หรือ “Cash on Delivery” ที่ควรรู้กัน

บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) คืออะไร?

COD (Cash on Delivery) คือบริการชำระเงินเมื่อได้รับสินค้า เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการความมั่นใจก่อนจ่ายเงิน โดยลูกค้าจะชำระค่าสินค้าให้กับพนักงานจัดส่ง ในขณะที่รับพัสดุที่หน้าบ้าน หรือจุดรับสินค้า ซึ่งหลังจากลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทขนส่งจะดำเนินการโอนเงินกลับมายังร้านค้าหรือผู้ขายตามรอบการโอนที่กำหนดในแต่ละบริษัท

  • C = Cash = เงินสด | O = On = เมื่อ | D = Delivery = มีการจัดส่ง
  • COD (Cash on Delivery) เก็บเงินเมื่อส่งสินค้าแล้ว

เหตุผลที่ COD มักไม่ใช้กับการส่งสินค้าต่างประเทศ

แม้ว่าบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) จะได้รับความนิยมอย่างมากในการซื้อขายภายในประเทศ เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย แต่เมื่อพูดถึงการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ ระบบ COD กลับไม่ค่อยถูกนำมาใช้ หรือมีข้อจำกัดอย่างมาก ทั้งจากมุมมองของความปลอดภัย ความซับซ้อนด้านธุรกรรมระหว่างประเทศ และข้อกำหนดของบริษัทขนส่งระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านภาษี ศุลกากร และขั้นตอนทางการเงินที่ซับซ้อนกว่าการขายภายในประเทศอย่างเห็นได้ชัด เช่น

  1. มีความเสี่ยงด้านการชำระเงินที่ผู้ให้บริการขนส่งไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้รับในต่างประเทศจะจ่ายเงิน
  2. มีความซับซ้อนด้านภาษีและศุลกากร สินค้าที่ส่งข้ามประเทศมักต้องผ่านด่านศุลกากร ซึ่งทำให้การจัดการ COD ยาก
  3. การโอนเงินกลับมายังผู้ขายในประเทศต้นทางอาจใช้เวลานานและมีค่าธรรมเนียมสูง
  4. บริษัทขนส่งข้ามชาติส่วนใหญ่ไม่รองรับ COD เช่น FedEx, DHL, UPS หรือไปรษณีย์ไทย (เมื่อส่งระหว่างประเทศ) มักไม่มีบริการ COD

ทางเลือกที่แนะนำแทน COD สำหรับการขายสินค้าระหว่างประเทศ

  1. ชำระเงินล่วงหน้าผ่านแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย: เช่น PayPal, Stripe, Wise, หรือการโอนผ่านธนาคาร
  2. ขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ระดับโลก: เช่น Amazon, eBay, Etsy, Shopee Global ที่มีระบบคุ้มครองทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
  3. ใช้บริการ Payment Gateway ที่รองรับหลายสกุลเงิน: เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่างประเทศ

ข้อดีของบริการ COD

  • ลูกค้า มั่นใจ ว่าจะได้รับสินค้าก่อนจ่ายเงิน
  • เหมาะกับลูกค้าที่ ไม่มีบัตรเครดิต/เดบิต หรือไม่สะดวกโอนเงิน

ข้อเสียของบริการ COD

  •  มีความเสี่ยงที่ลูกค้า ปฏิเสธรับของ หรือ ไม่ชำระเงิน
  • ผู้ขายอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น ค่าธรรมเนียม COD
  • เงินเข้าช้า เพราะต้องรอขนส่งโอนกลับ