Shipping Label คืออะไร? วิธีทำให้ถูกต้องเพื่อลดความผิดพลาดในการขนส่ง
ในยุคที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การขนส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยให้กระบวนการนี้ราบรื่นคือ “Shipping Label” หรือ ฉลากขนส่ง เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่แนบมากับพัสดุเพื่อนำส่งสินค้าไปยังปลายทาง เพื่อช่วยลดความผิดพลาดในระหว่างการขนส่ง เพราะหากฉลากขนส่งมีข้อผิดพลาด อาจทำให้พัสดุตกหล่น ส่งล่าช้า หรือถึงที่หมายผิดพลาดได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งสินค้าจึงควรให้ความสำคัญกับการออกแบบและติดตั้ง Shipping Label อย่างถูกต้อง ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Shipping Label และวิธีการใช้งานให้ถูกต้องเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขนส่ง
Shipping Label คืออะไร
Shipping Label คือ ฉลากที่ระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพัสดุ เช่น ชื่อและที่อยู่ผู้ส่ง ชื่อและที่อยู่ผู้รับ หมายเลขติดตามพัสดุ (Tracking Number) บาร์โค้ด หรือ QR Code ที่ใช้สำหรับตรวจสอบสถานะการจัดส่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทขนส่ง ขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า ฉลากนี้ช่วยให้บริษัทขนส่งสามารถจัดการพัสดุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบ: https://craftmypdf.com/tools/free-online-shipping-label-maker/
ความสำคัญของ Shipping Label
หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยให้พัสดุถึงมือผู้รับได้อย่างถูกต้องคือ Shipping Label หรือ ฉลากขนส่ง ซึ่งเป็นสติกเกอร์หรือเอกสารที่ติดอยู่บนกล่องพัสดุเพื่อระบุรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการจัดส่ง โดย Shipping Label ที่ชัดเจนและถูกต้องไม่เพียงช่วยให้บริษัทขนส่งดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังลดปัญหาการส่งผิดพลาดและป้องกันพัสดุสูญหาย และข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการควรใช้ให้ถูกต้อง ได้แก่
- ป้องกันข้อผิดพลาดในการจัดส่ง เพราะข้อมูลที่ถูกต้องช่วยให้พัสดุถูกส่งไปยังที่หมายอย่างแม่นยำ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ช่วยให้บริษัทขนส่งสามารถคัดแยกและจัดลำดับการส่งได้ง่ายขึ้น
- ติดตามสถานะพัสดุได้สะดวกจากหมายเลขติดตามและบาร์โค้ด ช่วยให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ตลอดเวลา
- ลดต้นทุนจากการส่งผิดหรือสูญหาย หาก Shipping Label ชัดเจนและถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสที่พัสดุจะถูกส่งผิดที่หรือสูญหาย
วิธีลดความผิดพลาดในการขนส่งด้วย Shipping Label
- ตรวจสอบที่อยู่ผู้รับให้ละเอียด โดยชื่อที่อยู่ของผู้รับต้องถูกต้องและครบถ้วน รวมถึงรหัสไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีการสะกดชื่อผิด หรือที่อยู่ไม่ชัดเจน
- เลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม ต้องคำนึงถึงขนาด น้ำหนัก ประเภทของสินค้า เลือกขนาดกล่องหรือพัสดุที่พอดีกับสินค้าจะช่วยลดความเสียหายและค่าส่ง
- ระบุรายละเอียดการติดตาม (Tracking Number) เพื่อให้สามารถตรวจสอบว่าเลขพัสดุ (Tracking Number) ถูกรวมใน Shipping Label และสามารถใช้ติดตามสถานะของการขนส่งได้
- ตรวจสอบความชัดเจนและความสมบูรณ์ของข้อมูล โดยเลือกใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย และหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรเล็ก หรือฟอนต์ที่ยากต่อการอ่าน
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการชำระเงิน (ถ้ามี)
- ติดป้ายในที่ที่เหมาะสม โดยป้ายควรติดที่ด้านบนหรือด้านข้างของพัสดุ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ขนส่งสามารถเห็นข้อมูลได้ชัดเจน และหากมีหลายป้ายควรติดให้พอดี และตรวจสอบว่าไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน
- ตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขในการส่งสินค้าของบริการขนส่งว่ามีข้อจำกัดหรือสินค้าบางประเภทห้ามส่งหรือไม่ เช่น ของเหลวหรือของอันตราย
การให้ความสำคัญกับ Shipping Label และตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนการส่งพัสดุ จะช่วยลดข้อผิดพลาดในการขนส่ง สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ