มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025: พิธีการใหม่ส่งผลอย่างไรต่อผู้ส่งสินค้าไทย

ในปี 2025 สหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ de minimis หรือการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและแพลตฟอร์มอี‑คอมเมิร์ซ ส่งผลให้ มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025 กลายเป็นหัวใจสำคัญของผู้ส่งสินค้าไปยังอเมริกา โดยเฉพาะผ่านบริการด่วนอย่าง FedEx และ DHL

ภาพรวมการเปลี่ยนแปลง: ยุติ de minimis ไทย–สหรัฐ

ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สหรัฐฯ จะยกเลิกการยกเว้นภาษีสินค้า ทุกชิ้นไม่ว่าจะมูลค่าเท่าไหร่ ที่ส่งเข้าไปยังอเมริกา ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการป้องกันการส่งสินค้าผิดกฎหมาย (เช่น ยาเสพติด สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ) 

เดิมที สิทธิ de minimis ยอมให้พัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์เข้าประเทศได้โดยไม่เสียภาษี และไม่ต้องผ่านพิธีการศุลกากรซับซ้อน แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว แม้แต่พัสดุราคาถูก…ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวน และผ่านกระบวนการศุลกากรอย่างละเอียด

ปฏิบัติการของบริษัทขนส่งด่วน: FedEx และ DHL ปรับตัวอย่างไร?

FedEx ได้ออก Regulatory Alert แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการยกเลิก de minimis และแนะนำให้ลูกค้าคำนวณภาษีล่วงหน้า เตรียมเอกสารให้ครบ เช่น HS Code, ใบสินค้าระบุต้นทาง/ราคา เพื่อให้ผ่านศุลกากรได้เร็วขึ้น 

ขณะที่ DHL Express เคยหยุดรับพัสดุที่เกิน 800 ดอลลาร์ชั่วคราว (เดือนเมษายน 2025) เพื่อปรับระบบให้รองรับมาตรการใหม่ และเริ่มกลับมารับพัสดุตามปกติอีกครั้งตั้งแต่ 28 เมษายน 2025 โดยใช้ระบบ “informal entry” สำหรับสินค้ามูลค่าระหว่าง 800–2,500 ดอลลาร์ ที่ช่วยให้กระบวนการผ่านศุลกากรเร็วขึ้น

นอกจากนี้ DHL ยังเสนอ โซลูชันเสริม เช่น:

  • Break Bulk Express (BBX): รวมหลายพัสดุให้เป็นคำขอศุลกากรชุดเดียว (ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อน)
  • Foreign Trade Zone (FTZ): พื้นที่พักสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อเลื่อนการชำระภาษี หรือบริหารสต็อกได้ยืดหยุ่นขึ้น

ทำไมผู้ส่งสินค้าไทยต้องจับตา “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” นี้?

  1. ต้นทุนเพิ่มขึ้นแน่นอน – แม้แต่สินค้าราคาประหยัดก็ต้องผ่านพิธีการศุลกากรและเสียภาษีเต็มจำนวน ซึ่งทำให้ต้นทุน “landed cost” ของผู้ส่งออกไทยสูงขึ้นทันที
  2. ลูกค้าอาจลังเล – เมื่อสินค้าถูกขึ้น 19% หรือเสียค่าดำเนินการสูง ลูกค้าในตลาดปลายทางอาจเปลี่ยนไปซื้อจากผู้ขายที่มีสต็อกในสหรัฐฯ แล้ว ลดภาระภาษี
  3. การแข่งขันเปลี่ยนรูปแบบ – ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ เช่น ส่งทีละเยอะขึ้น (เพื่อกระจายต้นทุน per unit), เปลี่ยนเส้นทางขนส่ง, หรือใช้บริการ BBX / FTZ ของ DHL เพื่อลดความซับซ้อน

แนวทางปฏิบัติที่ SMEs ไทยสามารถนำไปใช้ได้จริง

  • คำนวณภาษีและค่าผ่านศุลกากรล่วงหน้า ให้ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าราคาสุทธิจะเท่าไหร่
  • เตรียมเอกสารให้พร้อม, เช่น HS Code และ ใบกำกับสินค้า (Invoice) ที่ชัดเจน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการขนส่งอย่าง SME Shipping ก่อนการจัดส่งสินค้าธุรกิจ 
  • พิจารณาเก็บสต็อกในสหรัฐฯ (Fulfillment Center/3PL) เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีตอนนำเข้า และเพิ่มความเร็วในการส่งถึงปลายทาง
  • สื่อสารกับลูกค้าอย่างจริงใจ อธิบายว่าทำไมราคาขายถึงเปลี่ยน, และเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อใจ

มาตรการนี้เปลี่ยนเกมการส่งสินค้าไปอเมริกาแบบสิ้นเชิง แม้บริการขนส่งด่วนจากบริษัทไปรษณีย์เอกชน อย่าง FedEx และ DHL พยายามปรับเครื่องมือและช่องทางให้ลูกค้ารับมือได้ง่ายขึ้น แต่ SMEs ไทยยังต้องปรับตัวลงลึก ทั้งในเรื่อง ต้นทุน, การจัดเตรียมเอกสาร, และ เส้นทางโลจิสติกส์

หากคุณกำลังส่งของออกไปสหรัฐอเมริกา อย่ามองข้าม “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” เพราะนี่อาจเป็นตัวพาให้คุณได้เปรียบทางธุรกิจ…หรือขาดทุนโดยไม่รู้ตัว

ปรึกษาผู้ช่วยมืออาชีพด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของ SME Shipping ได้ฟรี ก่อนการส่งสินค้าไปที่อเมริกา เพียงโทรหาเราที่ 02-105-7777  หรือแชทผ่าน LINE OA: @shipping

ที่มาข่าว https://www.dhl.com/us-en/home/important-information/2025/shipments-to-the-united-states-with-a-customs-value-exceeding-usd-800.html?utm_source=chatgpt.com

https://www.fedex.com/content/dam/fedex/us-united-states/International/US_Eliminates_De_Minimis_Treatment_for_Imports_Effective_August_29_2025.pdf?utm_source=chatgpt.com

รหัสไปรษณีย์ (Postal Code) ความสำคัญในโลกยุคดิจิทัล

ในยุคที่ธุรกิจขนส่งออนไลน์และอีคอมเมิร์ซเติบโตแบบก้าวกระโดด รหัสไปรษณีย์ (Postal Code) กลายเป็น เครื่องมือสำคัญเพื่อการคัดแยกและจัดส่งที่แม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ บทความนี้จะเล่าให้เห็นภาพลึกจากอดีตถึงปัจจุบันว่า “รหัสไปรษณีย์คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ใช้กันอย่างไรในแต่ละประเทศ และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไรในยุคนี้”

ประวัติรหัสไปรษณีย์ 

  • ระบบรหัสไปรษณีย์มีจุดเริ่มต้นจากการแบ่งพื้นที่ใหญ่ เช่น ลอนดอนในปี 1857 แบ่งเป็น 10 เขต ได้แก่ EC, WC, N, NE, E, SE, S, SW, W, NW ซึ่งช่วยให้จัดส่งภายในเมืองได้เร็วขึ้น
  • ระบบรหัสไปรษณีย์แบบสมัยใหม่ใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในยูเครนปี 1932 แต่เลิกใช้ในปี 1939
  • เยอรมนีเป็นประเทศแรกที่เริ่มใช้อย่างจริงจังในปี 1941
  • สหรัฐอเมริกาติดตามมาในยุคสงครามกลางทศวรรษ 1960 ด้วยระบบ ZIP Code (1963)
  • สหราชอาณาจักรใช้งานระบบแบบตัวอักษรผสมตัวเลข (alphanumeric) เริ่มทดลองในปี 1959 และใช้ทั่วประเทศในช่วงปี 1974

โครงสร้างรหัสไปรษณีย์ในแต่ละประเทศ  

• ประเทศไทย

  • ใช้รหัส 5 หลัก (NNNNN) โดยตัวเลขสองหลักแรกบ่งบอกจังหวัดหรือพื้นที่พิเศษ ส่วนอีกสามหลักเป็นตัวแทนของที่ทำการไปรษณีย์ในพื้นที่นั้น
  • ระบบรหัสเหล่านี้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2525 (1982)
  • มีการแบ่ง “โซน” ของรหัสตามภูมิภาค เช่น 10xxx เป็นเขตกลาง, 20xxx เขตตะวันออก, 80xxx เขตใต้ ฯลฯ

• เยอรมนี

  • ใช้ระบบ 2 หลักในปี 1941 จากนั้นปรับเป็น 4 หลักในปี 1962 (ตะวันตก) และอีกระบบของตะวันออกตามมา
  • ปัจจุบันใช้ 5 หลักตั้งแต่ปี 1993 เพื่อรองรับการรวมประเทศและการขยายเขตพื้นที่บริการ ฯลฯ

• ญี่ปุ่น

  • รหัสประกอบด้วยตัวเลข 7 หลัก รูปแบบ NNN-NNNN
  • ตัวแรกสองหลักบ่งบอกจังหวัด ยกตัวอย่างเช่น “40” คือจังหวัด Yamanashi
  • ใช้สัญลักษณ์ “〒” (ยูบิ้นมาร์ก) นำหน้ารหัส เพื่อระบุว่าเป็นหมายเลขไปรษณีย์

• สหราชอาณาจักร

  • ใช้ระบบตัวอักษรผสมตัวเลข เช่น SW1A 1AA
  • โครงสร้างแบ่งเป็น Outward code (พื้นที่และเขต) กับ Inward code (sectors และ จุดส่ง)
  • ระบบนี้ช่วยให้เล็งถึงระดับถนนหรือบ้านเลขที่เฉพาะ — บางรหัสระบุถึงประมาณ 10–15 ที่อยู่ หรือแม้กระทั่งบ้านคนเดียว

ประโยชน์ของการใช้รหัสไปรษณีย์ 

  • เพิ่มความเร็วในการคัดแยกและการส่ง เพราะเครื่องจักรและระบบอัตโนมัติอ่านรหัสได้รวดเร็วและแม่นยำ
  • ลดความผิดพลาด จากการสะกดผิดหรือเขตพื้นที่คลุมเครือ
  • รองรับระบบที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ระบบนำทาง (GPS), อ้างอิงทางสถิติ, การประเมินความเสี่ยง, การทำตลาด
  • ประสิทธิภาพในธุรกิจและบริการ เช่น การนำรหัส UK ไปกำหนดเป็นหน่วยที่ใช้ในระบบจัดสรรทรัพยากร (Postcode Address File)

นวัตกรรมล่าสุดของระบบไปรษณีย์ของไทย 

ไทยกำลังพัฒนาระบบ Digital Post ID ซึ่งใช้ QR Code แทนรหัส 5 หลักเดิม ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อให้ระบุที่อยู่อย่างแม่นยำ รวมถึงในตึกสูงหรือคอนโดมิเนียม ที่รหัสไปรษณีย์ทั่วไปไม่สามารถครอบคลุมได้
QR Code นี้ใช้ครั้งเดียว (one-time-use) เพื่อป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลและเพิ่มความเป็นส่วนตัวของผู้รับ

โดยรวมแล้ว รหัสไปรษณีย์… ฟังดูเหมือนตัวเลขธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันคือ หัวใจของการสื่อสารและการขนส่งโลก

ทุกประเทศออกแบบรหัสของตัวเองให้สอดคล้องกับพื้นที่ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ แต่สุดท้าย… รหัสเหล่านี้กลับทำหน้าที่เดียวกัน คือ ทำให้โลกเชื่อมถึงกันได้ในไม่กี่วัน ✈️

และวันนี้ ระบบกำลังพัฒนาไปสู่ Digital Post ID ที่แม่นยำกว่าที่เคย นี่คือก้าวถัดไปของโลกโลจิสติกส์ ที่แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่าง “รหัสไปรษณีย์” ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างหมุนไปเร็วขึ้น

แหล่งที่มาของเนื้อหา

https://en.wikipedia.org/wiki/Postal_code
https://www.britannica.com/topic/postal-code
https://postalmuseum.si.edu/research-articles/flashing-across-the-country/a-zoning-system-in-development
https://en.wikipedia.org/wiki/Postcodes_in_the_United_Kingdom
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_postal_codes
https://www.nationthailand.com/thailand/policies/40022652d

Tariff คืออะไร? อาวุธทางเศรษฐกิจที่อเมริกาใช้สู้กับทั้งโลก

เมื่อพูดถึง “Tariff” หรือ ภาษีนำเข้า หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องของภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้านำเข้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว Tariff คือ เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน และยังคงเป็น “อาวุธ” สำคัญที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปกป้องเศรษฐกิจในประเทศและต่อรองกับคู่ค้า

ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจประวัติของ Tariff ตั้งแต่ยุคแรก ๆ จนถึงปัจจุบัน พร้อมอธิบายว่าเหตุใด อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงนำกลับมาใช้อย่างเข้มข้น และผลกระทบต่อการค้าโลกและประเทศไทยเป็นอย่างไร

ประวัติของ Tariff: จากรายได้รัฐสู่เครื่องมือการเมือง

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18–19 รายได้หลักของรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาจาก Tariff เนื่องจากยังไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐบาลจึงต้องเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปเป็นหลัก นอกจากจะสร้างรายได้ให้รัฐแล้ว Tariff ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ปกป้องอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ของอเมริกา

แนวคิดนี้เรียกว่า Protectionism หรือ “การคุ้มครองทางการค้า” ที่มีเป้าหมายคือ ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศแทน

ในยุคเดียวกันนี้ หลายประเทศในยุโรปก็ใช้มาตรการลักษณะเดียวกัน เช่น อังกฤษที่มี “Corn Laws” เพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ จนกลายเป็นบรรทัดฐานของการใช้ ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์

Tariff ในศตวรรษที่ 20: จาก Great Depression สู่การค้าเสรี

แม้ว่า Tariff จะถูกใช้มาตลอด แต่ก็มีผลลัพธ์ด้านลบที่สำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Smoot-Hawley Tariff Act ปี 1930 ที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสูงมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) มาตรการนี้ทำให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากอเมริกา เช่นกัน ส่งผลให้การค้าโลกลดลงและเศรษฐกิจโลกยิ่งทรุดหนัก

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกา และพันธมิตรจึงหันไปสร้างระบบ การค้าเสรี (Free Trade) ภายใต้ GATT และต่อมาคือ WTO เพื่อลดกำแพงภาษีและป้องกันไม่ให้เกิด “สงครามการค้า” อีกครั้ง

Tariff ในยุคทรัมป์: การกลับมาของสงครามการค้า

แม้โลกจะเคลื่อนไปสู่เสรีการค้า แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปี 2017–2021 ได้หยิบ Tariff มาใช้เป็นอาวุธอีกครั้ง โดยเฉพาะกับ ประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกา

ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า จีนเอาเปรียบอเมริกา ทั้งด้านดุลการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผลลัพธ์คือเกิดสิ่งที่ถูกเรียกว่า สงครามการค้า (Trade War) ที่สั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

นอกจากจีนแล้ว ทรัมป์ยังใช้ Tariff กดดันสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เพื่อบังคับให้ย้ายฐานการผลิตกลับอเมริกา และสร้างงานในประเทศ

Tariff คือกำแพงที่กีดกัน แต่ก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

แม้ Tariff จะช่วยปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ แต่ก็มี ผลเสียในระยะยาว คือทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนเพิ่ม อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของอเมริกา เช่นกัน

ในกรณีของสงครามการค้าสหรัฐ–จีน งานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ธุรกิจอเมริกันและผู้บริโภคในสหรัฐเอง คือผู้ที่รับภาระต้นทุน Tariff มากที่สุด ไม่ใช่จีนตามที่ตั้งใจ เพราะสินค้านำเข้ามีความจำเป็นในห่วงโซ่อุปทาน

ผลกระทบของ Tariff ต่อไทยและผู้ส่งออก

สำหรับประเทศไทย Tariff ของอเมริกา ส่งผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกที่ขายสินค้าไปยังตลาดอเมริกา สินค้าอย่าง สิ่งทอ เสื้อผ้า อาหารแปรรูป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ล้วนได้รับผลกระทบ

ในปี 2025 อเมริกา ปรับลดฐานจากการคาดการณ์ภาษีตอบโต้ 36% เหลือ 19% แต่ก็ยังเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้การส่งออกครึ่งปีหลังชะลอตัวอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์คาดว่าภาพรวมทั้งปีการส่งออกไทยจะเติบโตได้เพียง 1.5–4% เท่านั้น แม้ครึ่งปีแรกจะขยายตัวสูงถึง 15%

ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่ง ปรับกลยุทธ์ เช่น กระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ หรือใช้บริการศูนย์กระจายสินค้า (Fulfillment Center) ในต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษี

บทเรียนจาก Tariff: อาวุธทางเศรษฐกิจที่ไม่มีวันตาย

สิ่งที่เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์คือ Tariff ไม่ได้หายไปไหน มันถูกหยิบมาใช้ซ้ำทุกครั้งที่ประเทศมหาอำนาจต้องการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจหรือการเมือง

จากศตวรรษที่ 18 ที่ Tariff เป็นรายได้หลักของอเมริกา → สู่ยุค Great Depression ที่ Tariff ทำเศรษฐกิจโลกทรุด → จนถึงยุคทรัมป์ที่ Tariff กลับมาเป็นอาวุธในสงครามการค้า

สำหรับผู้ส่งออกไทย นี่คือ “สัญญาณเตือน” ว่าการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปอาจเสี่ยงอย่างยิ่ง และการปรับตัวอย่างรวดเร็วคือกุญแจรอดพ้นจากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก


แหล่งที่มา

  • Kasikorn Research Center. (2025). การส่งออกไทยครึ่งปีแรกโตแรง ก่อนเจอมาตรการภาษีอเมริกา ครึ่งปีหลังชะลอตัว. Kasikorn Research
  • White House. (2025). Suspending Duty-Free de minimis Treatment. Whitehouse.gov
  • FedEx. (2025). Regulatory Alert: Elimination of de minimis imports. FedEx.com

WTO & Trade History. Tariffs and protectionism in historical context. WTO.org

วิธีการรับมือกำแพงภาษีจากต่างประเทศ | SME Shipping

ผู้ประกอบการไทย ควรรับมือกับกำแพงภาษีจากต่างประเทศอย่างไร

ในโลกของการค้าเสรี ความสามารถในการแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพหรือราคาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “อุปสรรคทางการค้า” ที่มาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ กำแพงภาษี (Tariff Barriers) ที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศปลายทาง ซึ่งกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญหน้า โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและนโยบายการค้าระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วผู้ส่งออกไทยจะปรับตัวยังไงให้รอดและโต?  ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่าผู้ประกอบการควรรู้และรับมืออย่างไรกับสถานการ์การค้าแบบนี้ 

กำแพงภาษี มีผลอย่างไรต่อการส่งออกสินค้าไปขายต่างประเทศ?

กำแพงภาษี คือการเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้า ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าไทยในประเทศปลายทาง สูงขึ้น และ แข่งขันได้ยากลง เมื่อเทียบกับสินค้าภายในประเทศหรือคู่แข่งจากประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษี ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่:

  • ยอดขายลดลง เพราะผู้บริโภคเลือกสินค้าที่ถูกกว่า
  • กำไรหาย จากการต้องลดราคาขายเพื่อรักษาลูกค้า
  • เสียเปรียบด้านเวลาและต้นทุน จากกระบวนการตรวจสอบเอกสารและชำระภาษีเพิ่มเติม

กระทบสินค้าส่งออกอะไรบ้าง?

สินค้าจากไทยที่มักได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีต่างประเทศ เช่น:

  • สินค้าเกษตร: ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ผลไม้แปรรูป
  • สินค้าอุตสาหกรรม: เหล็ก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • สินค้าแฟชั่นและสิ่งทอ: เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากประเทศปลายทางไม่มีข้อตกลง FTA กับไทย หรือยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษี (เช่น GSP) ก็ยิ่งทำให้สินค้าของไทยแพงขึ้นทันที

รัฐบาลไทย รับมืออย่างไร?

รัฐบาลมีมาตรการหลายอย่างเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยรับมือกับกำแพงภาษี เช่น:

  • เจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าใหม่ เช่น อียู อินเดีย กลุ่ม Mercosur
  • ส่งเสริมการขอใช้สิทธิพิเศษภาษี เช่น FTA Form D, Form E หรือ CPTPP
  • สนับสนุนข้อมูลเชิงลึกและอบรมผู้ประกอบการ ผ่านกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมศุลกากร
  • สร้างตราสินค้าและมาตรฐานใหม่ เพื่อให้สินค้าสามารถแข่งขันด้านมูลค่า ไม่ใช่แค่ราคา เช่น การรับรองคุณภาพ ความยั่งยืน และสิ่งแวดล้อม

การเลือก “ตลาดส่งออกที่มีภาษีต่ำ” หรือ “ตลาดที่ไทยมีข้อตกลง FTA” ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถ ลดต้นทุน และ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่หลายประเทศเริ่มกลับมาใช้กำแพงภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในประเทศ ซึ่งการวางแผนใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี FTA (Free Trade Agreement) สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นคง

ยกตัวอย่างการใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ เช่น:

  • ผู้ผลิตผลไม้แปรรูป
  • ส่งออกไปจีน ใช้ Form E
  • ได้รับยกเว้นภาษีนำเข้า 100%
  • คู่แข่งจากเวียดนามที่ไม่มีสิทธิ์ Form E ถูกเก็บภาษี 10%  สินค้าไทยได้เปรียบด้านราคา

กำแพงภาษีคือความท้าทายที่ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ก้าวข้ามไม่ได้ หากเข้าใจระบบภาษีนำเข้าอย่างดี และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่ไทยมีอยู่ ผู้ประกอบการสามารถ

กฏหมายขนส่งต่างประเทศที่ควรรู้ | SME Shipping

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศที่ผู้ประกอบการต้องรู้

การส่งออกหรือนำเข้าสินค้าไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน การเลือกบริษัทขนส่ง หรือภาษีนำเข้าเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่อาจ “กำหนดความสำเร็จหรือความเสี่ยง” ของธุรกิจ นั่นก็คือ “ข้อกฎหมายด้านการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งหากผู้ประกอบการละเลยหรือไม่เข้าใจให้ดี อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น สินค้าถูกยึด ติดศุลกากร หรือถูกฟ้องร้องในต่างประเทศได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านี้ ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาไปดูว่ากฎหมายขนส่งต่างประเทศสำคัญอย่างไร และเรื่องไหนที่คุณควรรู้ไว้ก่อนทำการค้าโลก

ทำไม “ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศ” ถึงสำคัญ?

เมื่อธุรกิจเริ่มขยายสู่ตลาดต่างประเทศ สิ่งที่ผู้ประกอบการมักให้ความสำคัญคือเรื่องราคา การขนส่ง และภาษีนำเข้า แต่มีอีกหนึ่งองค์ประกอบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ “ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งระหว่างประเทศ” ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบต่อทั้งต้นทุน ระยะเวลา และความปลอดภัยของสินค้าได้โดยตรง หากไม่เข้าใจหรือดำเนินการผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การสูญเสียทางธุรกิจได้อย่างไม่คาดคิด แล้วทำไมกฎหมายเหล่านี้จึงมีน้ำหนักมากขนาดนี้?

  1. ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย เพราะการไม่เข้าใจกฎหมายของประเทศปลายทาง เช่น สินค้าต้องห้าม สินค้าควบคุม หรือข้อกำหนดบรรจุภัณฑ์ อาจทำให้สินค้า ถูกกักไว้ หรือต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก
  2. ป้องกันปัญหาทางธุรกิจ หากขนส่งผิดเงื่อนไขหรือเอกสารไม่ครบตามกฎหมาย อาจทำให้ลูกค้าปลายทางรับสินค้าไม่ได้ หรือเกิดปัญหาเรื่อง ความรับผิดชอบระหว่างผู้ส่ง-ผู้ขนส่ง-ผู้รับได้
  3. เสริมภาพลักษณ์มืออาชีพ ซึ่งลูกค้าต่างประเทศย่อมวางใจหากผู้ประกอบการมีความรู้เรื่องกฎหมายและสามารถจัดการเอกสารหรือข้อกำหนดข้ามประเทศได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว

เรื่องที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนส่งออกสินค้า

  1. INCOTERMS คือเงื่อนไขทางการค้าสากลที่กำหนด ความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และเอกสารต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนของการขนส่งสินค้า ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ภาษีศุลกากร หรือความเสียหายของสินค้า เช่น FOB, CIF, DDP ฯลฯ ระบุความรับผิดชอบเรื่องค่าขนส่ง ภาษี และความเสี่ยงในระหว่างการขนส่ง
  2. HS Code และข้อจำกัดของสินค้า ที่มีรหัสศุลกากร (HS Code) บ่งชี้ประเภทสินค้าเพื่อใช้คำนวณภาษีและตรวจสอบข้อจำกัด เช่น สินค้าบางประเภทต้องมีใบอนุญาตพิเศษหรือห้ามส่งออกไปยังบางประเทศ
  3. กฎหมายศุลกากรของประเทศปลายทาง ซึ่งแต่ละประเทศมีกฎที่ไม่เหมือนกัน เช่น ออสเตรเลียมีข้อกำหนดเข้มงวดเรื่องไม้และอาหาร หรือสหรัฐฯ มีข้อจำกัดกับสินค้าจากบางประเทศ
  4. กฎหมายการขนส่งระหว่างประเทศ (เช่น Hague-Visby, Hamburg Rules) กำหนดความรับผิดชอบของบริษัทขนส่ง กรณีเกิดความเสียหายหรือสูญหายระหว่างทาง
  5. เอกสารทางการค้า เช่น Invoice, Packing List, ใบขนสินค้า, ใบรับรองแหล่งกำเนิด (CO), ใบอนุญาตส่งออก/นำเข้า เอกสารเหล่านี้ต้องถูกต้องและสอดคล้องกับกฎหมายของทั้งสองประเทศ

ข้อกฎหมายขนส่งต่างประเทศเป็น “เรื่องจำเป็น” ที่ผู้ประกอบการควรเข้าใจตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะการเข้าใจในข้อกฎหมายไม่เพียงแค่เพื่อความปลอดภัยของสินค้าและชื่อเสียงของธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นด้วย

ภาษีนำเข้าและนโยบายของทรัมป์ น่ากลัวขนาดไหน? | SME Shipping

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ส่งของทางเรือ หรือ ส่งทางอากาศแบบประหยัดดีกว่ากัน? | SME Shipping

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ยากไหม หากผู้ประกอบการดำเนินเอกสารด้วยตนเอง | SME Shipping

ยากไหม? หากผู้ประกอบการจะดำเนินการนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

การนำเข้าส่งออกสินค้าเป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย พิธีการศุลกากร เอกสารต่างประเทศ และระบบโลจิสติกส์ ซึ่งฟังดูอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มสนใจเรียนรู้และดำเนินการด้วยตนเอง เพื่อประหยัดต้นทุนและควบคุมกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากมีความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมตัวอย่างเหมาะสม การนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป ซึ่งบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องควรรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มนำเข้าส่งออกสินค้าด้วยตัวเอง

สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้หากต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเอง

1. การจดทะเบียนและขอรหัสประจำตัวผู้ประกอบการ (Exporter/Importer Code)

ก่อนจะสามารถนำเข้าส่งออกได้ ผู้ประกอบการต้องลงทะเบียนเป็นผู้นำเข้า-ส่งออกกับกรมศุลกากร ผ่านระบบ e-Customs โดยจะได้รับรหัสประจำตัว (Customs Registration ID) เพื่อใช้ในการระบุตัวตนในระบบของกรมศุลกากรทุกครั้งที่ทำธุรกรรม *แนะนำให้ดำเนินการขอรหัสตั้งแต่ก่อนเริ่มธุรกิจจริง เพื่อให้พร้อมเมื่อมีคำสั่งซื้อ

2. การเรียนรู้เรื่องพิกัดศุลกากร (HS Code)

HS Code (Harmonized System Code) เป็นรหัสตัวเลข 6-10 หลักที่ใช้จำแนกประเภทสินค้าในระดับสากล ซึ่งจะส่งผลต่อ

  • อัตราภาษีที่ต้องชำระ
  • ความจำเป็นในการขอใบอนุญาต
  • ข้อจำกัดเฉพาะของสินค้า (เช่น อาหาร, ยา, เครื่องมือแพทย์ ฯลฯ) หากใส่รหัสผิด สินค้าอาจโดนยึด ติดด่าน หรือถูกปรับย้อนหลังได้

3. เอกสารที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าส่งออก

ผู้ประกอบการต้องจัดเตรียมเอกสารต่างๆ อย่างครบถ้วน ซึ่งจะใช้ในการผ่านพิธีการศุลกากร รับ-ส่งสินค้า ยืนยันข้อมูลกับคู่ค้าและหน่วยงานราชการ โดยเอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียม เช่น

  • Commercial Invoice: รายการสินค้า ราคาขาย
  • Packing List: รายละเอียดการบรรจุหีบห่อ
  • Bill of Lading / Air Waybill: เอกสารขนส่ง
  • ใบอนุญาตนำเข้า-ส่งออก (หากจำเป็น)
  • C/O (Certificate of Origin): เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้เขตการค้าเสรี (FTA)

4. ความรู้เรื่องภาษีและอากร

ผู้ประกอบการที่ต้องการนำเข้าส่งออกด้วยตนเองจะต้องมีความรู้เรื่องภาษีและอากรเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหารเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง รวมทั้งนำไปใช้ในการคำนวณต้นทุนที่แท้จริงต้องรวมในสินค้าแต่ละครั้งที่ส่งออก อาทิ ภาษีนำเข้า (Import Duty) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และ ภาษีสรรพสามิต (ในบางประเภทสินค้า เช่น สุรา น้ำหอม เครื่องใช้ไฟฟ้า)

5. พิธีการศุลกากรและระบบ e-Customs

ทุกการนำเข้าส่งออกต้องผ่านการยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น

  • e-Customs: สำหรับยื่นใบขนสินค้า
  • NSW (National Single Window): สำหรับขอใบอนุญาตจากหน่วยงานต่างๆ แบบออนไลน์

หากยังไม่มีความชำนาญ อาจใช้ ตัวแทนออกของ (Customs Broker) ช่วยดำเนินการในช่วงเริ่มต้นก่อน

6. การเลือกบริษัทขนส่งหรือชิปปิ้ง (Freight Forwarder / Shipping Agent)

ในการนำเข้าส่งออกสินค้า “การขนส่ง” ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับต้นทุน เวลา และความปลอดภัยของสินค้าโดยตรง แม้ผู้ประกอบการจะดำเนินพิธีการศุลกากรด้วยตนเองได้ แต่ก็มักต้องอาศัย บริษัทขนส่ง (Freight Forwarder) หรือ ชิปปิ้ง (Shipping Agent) ในการจัดการขนส่งระหว่างประเทศและดูแลเอกสารขนส่งที่ซับซ้อน เช่น

  • แนะนำเส้นทางที่ประหยัด
  • เจรจากับสายเรือ/สายการบิน
  • ตรวจสอบเอกสารขนส่งให้ถูกต้อง

แม้ว่าการนำเข้าส่งออกด้วยตัวเองจะมีรายละเอียดที่ต้องศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่หากผู้ประกอบการมีความตั้งใจเรียนรู้ เข้าใจระบบ และวางแผนอย่างรอบคอบ ก็สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งประหยัดต้นทุนในระยะยาวอีกด้วย

เหตุผลที่ควรใส่ใจเอกสารนำเข้าส่งออก | SME Shipping

ทำไมผู้ประกอบการควรใส่ใจเรื่องเอกสารสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้า

 การทำธุรกิจที่ต้องมีการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ กลายเป็นเรื่องง่ายและเปิดกว้างมากขึ้น ซึ่งการนำเข้าส่งออกสินค้าไม่ใช่เพียงแค่การสั่งของหรือจัดส่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยความเข้าใจในกระบวนการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องของ “เอกสารนำเข้าและส่งออก” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความปลอดภัยของการดำเนินธุรกิจ หากผู้ประกอบการละเลยหรือจัดการไม่ถูกต้อง อาจส่งผลกระทบทั้งด้านเวลา ต้นทุน และความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปค้นหาคำตอบว่าทำไมผู้ประกอบการ ถึงควรใส่ใจในเอกสารสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้าให้มากขึ้น

เอกสารนำเข้าและส่งออกคืออะไร?

เอกสารนำเข้าและส่งออก (Import and Export Documents) คือเอกสารสำคัญที่ใช้ในการดำเนินพิธีการศุลกากรระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า เช่น รายละเอียดสินค้า มูลค่า เส้นทางการขนส่ง ที่มาของสินค้า และผู้รับปลายทาง เอกสารเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบและอนุมัติการนำเข้า/ส่งออก ซึ่งมักประกอบด้วยเอกสารหลัก เช่น

  • ใบกำกับสินค้า (Invoice)
  •  บัญชีรายการบรรจุสินค้า (Packing List)
  •  ใบตราส่ง (Bill of Lading / Air Waybill)
  • ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin)
  •  ใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)

เอกสารเหล่านี้เป็นตัวแทนข้อมูลสำคัญที่หน่วยงานศุลกากรใช้ในการพิจารณาอนุมัติการผ่านด่าน ตรวจสอบภาษี และตรวจสอบข้อกำหนดด้านความปลอดภัยหรือกฎหมายพิเศษอื่นๆ

ทำไมผู้ประกอบการควรใส่ใจเรื่องเอกสารนำเข้า-ส่งออก?

หลายคนอาจมองว่าเอกสารนำเข้า-ส่งออกเป็นแค่เรื่องเทคนิคหรือแค่กระดาษ แต่ในความจริงแล้วเอกสารนี้คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจระหว่างประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะหากผู้ประกอบการเตรียมเอกสารไม่ดี ขาดการตรวจเช็กให้รอบคอบจนเกิดมีผิดพลาด หรือขาดบางอย่างไป อาจส่งผลเสียแบบที่ไม่คาดคิดได้ แต่หากผู้ประกอบการใส่ใจในการตรวจสอบเอกสารนำเข้า-ส่งออกทุกครั้ง จะช่วยในเรื่องการดำเนินการ ดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงของสินค้าติดด่าน เพราะหากเอกสารไม่ครบหรือมีข้อมูลผิด ศุลกากรอาจไม่ปล่อยของ ทำให้สินค้าถูกกักไว้ เสียเวลา เสียเงิน และอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าได้
  2. เป็นเอกสารที่ช่วยในการคำนวณภาษีได้แม่นยำ เนื่องจากข้อมูลในเอกสารใช้เป็นฐานในการคิดภาษี ถ้าเขียนผิดหรือคลาดเคลื่อน อาจโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หรือเสียภาษีเกินจริงได้
  3. เสริมภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ เวลาทำงานกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศ การมีระบบเอกสารที่ชัดเจนและเป็นมืออาชีพ จะช่วยให้คู่ค้ารู้สึกมั่นใจและอยากทำธุรกิจร่วมกับเรา
  4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น FTA หรือ BOI ถ้าเอกสารครบและถูกต้อง ก็สามารถยื่นขอสิทธิพิเศษทางภาษีต่างๆ ได้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนได้
  5. มีหลักฐานไว้ใช้เมื่อต้องตรวจสอบย้อนหลัง ในกรณีที่เกิดปัญหาเกี่ยวกับสินค้า หรือมีข้อพิพาททางธุรกิจ เอกสารเหล่านี้จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยปกป้องสิทธิ์ของผู้ประกอบการได้
  6. ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศได้ถูกต้อง กฎระเบียบของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน การเตรียมเอกสารให้เหมาะสมกับปลายทางเป็นการลดโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ล่วงหน้า

สรุปง่ายๆ ก็คือ แม้เรื่องเอกสารเอกสารนำเข้าและส่งออก (Import and Export Documents) จะดูจุกจิกและยิบย่อย แต่ก็สำคัญมากสำหรับการนำเข้า-ส่งออกสินค้า เพราะมันคือสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเดินไปได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต และช่วยให้ธุรกิจไปได้ไกลและมั่นคงยิ่งขึ้นนั่นเอง

เหตุผลที่คุณควรใช้บริการพิธีการศุลกากร | SME Shipping

เหตุผลดีดีที่ผู้ประกอบการควรใช้บริการพิธีการศุลกากร (Customs Clearance)

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าและส่งออกสินค้าจำเป็นต้องเข้าใจขั้นตอนและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้คือ “พิธีการศุลกากร” ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและอนุมัติสินค้าที่เคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ หากขาดความรู้ ความชำนาญ หรือดำเนินการผิดพลาด อาจส่งผลให้สินค้าล่าช้า ถูกปรับ หรือถูกกักไว้ได้ ดังนั้น การใช้บริการพิธีการศุลกากรจากผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นตัวช่วยที่ทำให้การดำเนินธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมืออาชีพยิ่งขึ้น และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับ “พิธีการศุลกากร (Customs Clearance)” และความสำคัญที่ผู้ประกอบการควรรู้ 

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คืออะไร?

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คือกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อมีการนำเข้า (Import) หรือส่งออก (Export) สินค้าข้ามพรมแดนประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจสอบเอกสาร ประเมินภาษีอากร และดำเนินการอนุมัติโดยกรมศุลกากร เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่มีการนำเข้า-ส่งออกไปนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เป็นของต้องห้าม หรือของต้องจำกัด และมีการชำระภาษีอากรอย่างถูกต้อง

พิธีการศุลกากรสำคัญยังไง?

พิธีการศุลกากรเปรียบเหสมือนด่านแรกที่มีผลต่อความเร็ว ความถูกต้อง และต้นทุนของการนำเข้า/ส่งออกสินค้า เพราะหากดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือขาดความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบเอกสาร สินค้าที่เข้ามาก็อาจถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง หรือเลวร้ายกว่านั้นคือถูกกักไว้หรือถูกทำลาย อีกทั้งยังอาจกระทบต่อชื่อเสียงทางธุรกิจในสายตาพาร์ตเนอร์ต่างประเทศด้วย ดังนั้น การดำเนินพิธีการศุลกากรอย่างรัดกุมจึงเป็นหัวใจของการทำธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมืออาชีพ

ทำไมผู้ประกอบการควรใช้บริการพิธีการศุลกากร?

สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่เข้าใจในการนำเข้า (Import) หรือส่งออก (Export) ของพิธีการศุลกากร ในปัจจุบันก็มีผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทตัวแทน (Customs Broker) ที่เข้ามาเป็นคนกลางในการให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีข้อดีมากมายที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  1. ลดความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการยื่นเอกสาร และช่วยประหยัดเวลาและลดความล่าช้า ช่วยให้สินค้าผ่านด่านได้รวดเร็วขึ้น
  2. ลดต้นทุนแฝง เช่น ค่าภาษีหรือค่าปรับจากความผิดพลาด ซึ่งการเลือกใช้บริการที่มีประสบการณ์จะช่วยให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และหลีกเลี่ยงค่าปรับที่ไม่จำเป็น
  3. สามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับข้อกำหนดทางการค้าและสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ เช่น การใช้สิทธิพิเศษภายใต้ FTA, BOI หรือการขอยกเว้นภาษีอากร
  4. เพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาคู่ค้าต่างประเทศ โดยเมื่อลูกค้าเห็นว่าคุณมีระบบจัดการนำเข้า/ส่งออกอย่างมืออาชีพ ย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ธุรกิจ
  5. อัปเดตข้อมูลกฎหมายใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อช่วยให้คุณไม่ตกหล่นต่อการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรือข้อบังคับด้านศุลกากร

การใช้บริการพิธีการศุลกากรไม่เพียงแต่ช่วยให้การนำเข้าและส่งออกสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและพร้อมเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งผู้ประกอบการที่ต้องการลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ จะต้องทำความเข้าใจและเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากรอย่างจริงจังเพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งกล่าวโดยสรุป พิธีการศุลกากร (Customs Clearance) คือ การที่ผู้ส่งหรือผู้รับสินค้าต้องดำเนินการกับหน่วยงานศุลกากรของประเทศนั้นๆ เพื่อให้สินค้าสามารถเข้าหรือออกจากประเทศตามกฎหมายนั่นเอง