วิธีส่งออกสินค้า

ก่อนผมมาเริ่มงานที่เอสเอ็มอี ชิปปิ้ง เคยทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายโลจิสติกส์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังขยายตลาดใหม่ไปยังต่างประเทศ ทางผู้บริหารจึงมอบหมายงานให้ผมดูแลเรื่อง “วิธีส่งออกสินค้า” ทั้งระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าของเราจะถูกจัดส่งข้ามทะเลได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และทันเวลา

ก่อนหน้านี้ ผมเองเคยดูแลงานขนส่งในประเทศอยู่บ้าง แต่พอต้องขยับมาดู “การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ” จริงจัง ก็พบว่ามีรายละเอียดที่ต้องจัดการมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น เอกสารศุลกากร การประสานงานกับ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ พิธีการในประเทศและปลายทาง รวมถึงการคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จึงตั้งใจเขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ค่อย ๆ เรียนรู้และปฏิบัติจริง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่เพิ่งรับผิดชอบงานด้านการส่งออกเช่นเดียวกันครับ


1. ทำความเข้าใจกับสินค้าและตลาดเป้าหมาย

1.1 วิเคราะห์ตัวสินค้า

สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ คือ เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวสินค้าของเราให้ชัดเจนก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร ต้องการการดูแลหรือบรรจุเป็นพิเศษหรือไม่ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าอาหารสด ผลิตภัณฑ์เน่าเสียง่าย หรือสารเคมีบางชนิด อาจต้องใช้ เทคนิคการขนส่งสินค้า เฉพาะทาง รวมถึงเงื่อนไขเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น และมาตรฐานการบรรจุที่ปลอดภัย

  • ประเภทสินค้า: อาหารสด เครื่องจักร เครื่องแต่งกาย หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะมีข้อจำกัดและเงื่อนไขในการส่งออกแตกต่างกัน
  • ปริมาณและน้ำหนัก: ถ้าส่งสินค้าในปริมาณมากและหนัก การเลือกตู้คอนเทนเนอร์แบบ FCL (Full Container Load) อาจช่วยประหยัดต้นทุนกว่า แต่ถ้าส่งของจำนวนน้อย LCL (Less than Container Load) ก็ดูเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าได้เช่นกัน
  • มูลค่าของสินค้า: ยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูง เราอาจต้องพิจารณาเรื่อง การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance) เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง

1.2 ตลาดปลายทาง

  • กฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า: ต้องตรวจสอบเรื่องภาษี นโยบายศุลกากร หรือมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งอาจมีความแตกต่างจากประเทศไทยอย่างมาก
  • อัตราภาษีนำเข้า: บางประเทศอาจมีภาษีนำเข้าค่อนข้างสูง หากสินค้าเราไม่ได้อยู่ในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อาจทำให้ราคาสุดท้ายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายสูงขึ้น จนแข่งขันได้ยาก
  • พฤติกรรมผู้บริโภค: ต้องเข้าใจว่าลูกค้าในประเทศปลายทางต้องการสินค้าแบบไหน เพื่อตั้งราคาและวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสม

การทำความเข้าใจสินค้าของเราอย่างละเอียด รวมถึงเงื่อนไขของตลาดปลายทาง จะช่วยให้การวางแผน “วิธีส่งออกสินค้า” เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงในอนาคต


2. เตรียมการภายในบริษัท

2.1 ประสานงานกับฝ่ายผลิตและคลังสินค้า

การส่งออกสินค้าไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายโลจิสติกส์เพียงคนเดียว แต่ว่าต้องอาศัยการทำงานร่วมกับหลายแผนกในบริษัท โดยเฉพาะฝ่ายผลิต และฝ่ายคลังสินค้า

  • ฝ่ายผลิต: ต้องทราบว่าต้องผลิตสินค้าอะไร ปริมาณเท่าใด เพื่อเตรียมวัตถุดิบและควบคุมคุณภาพให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและมาตรฐานการส่งออก
  • ฝ่ายคลังสินค้า: ต้องจัดเก็บสินค้าให้ดี เลือกใช้ระบบหมุนเวียนสินค้า (เช่น FIFO) อย่างมีประสิทธิภาพ และแจ้งข้อมูลสต็อกให้ฝ่ายโลจิสติกส์ทราบ เพื่อคำนวณเวลาจัดส่งได้ถูกต้อง

การสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างแผนกจะช่วยให้เราทราบว่าควรเริ่มกระบวนการขนส่งเมื่อใด และจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

2.2 วางแผนตารางส่งออก

เมื่อได้จำนวนและกำหนดพร้อมส่งสินค้าแล้ว ผมจะตรวจสอบ ตารางเรือ (Sailing Schedule) ของ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ ต่าง ๆ เพื่อเลือกเที่ยวเรือที่เหมาะสม หากต้องการส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องรายเดือน ก็อาจตกลงทำสัญญาระยะยาว เพื่อให้ได้อัตราค่าระวาง (Freight) ที่เหมาะสม


3. ศึกษาเอกสารศุลกากรและพิธีการ

หัวใจสำคัญของ “วิธีส่งออกสินค้า” คือการจัดการด้าน เอกสารศุลกากร อย่างถูกต้อง หากผิดพลาดหรือล่าช้า อาจทำให้สินค้าไปค้างที่ท่าเรือและเสียค่าใช้จ่ายสูงเกินความจำเป็น

  • Commercial Invoice: เอกสารระบุข้อมูลผู้ขาย ผู้ซื้อ รายละเอียดสินค้า ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน
  • Packing List: ระบุข้อมูลการบรรจุ เช่น จำนวนกล่อง น้ำหนัก ขนาดพาเลทหรือคอนเทนเนอร์
  • ใบอนุญาตส่งออก (Export License): หากสินค้าต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
  • Certificate of Origin: กรณีที่สินค้าของเราอาจได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในบางประเทศ ถ้ามีข้อตกลง FTA

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance)

ในประเทศไทยสามารถยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว ซึ่งลดขั้นตอนด้านกระดาษค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องรอบคอบในการกรอกข้อมูล เช่น รหัส HS Code ให้ถูกต้องตรงกับประเภทสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง


4. เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ

ในการเลือกผู้ให้บริการขนส่ง ผมแนะนำให้พิจารณาหลายด้าน ทั้ง ตารางเรือ (Schedule) ค่าใช้จ่ายบริการ (Freight + ค่าธรรมเนียมท่าเรือ) รวมถึงคุณภาพการบริการ

  • การเปรียบเทียบราคา: ขอใบเสนอราคา (Quotation) จากผู้ให้บริการหลายเจ้า เพื่อดูว่าใครให้ราคาเหมาะสมที่สุดและมีรอบเรือที่ตรงกับความต้องการ
  • ชื่อเสียงและรีวิว: หากมีเพื่อนหรือคนรู้จักในแวดวงนี้ ลองสอบถามประสบการณ์การใช้บริการมาก่อน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
  • Freight Forwarder: อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ตัวแทนจัดการขนส่ง (Forwarder) ที่สามารถช่วยเราวางแผนและดูแลเอกสารได้ครบวงจร แม้อาจเสียค่าบริการเพิ่ม แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาและลดความเสี่ยงได้มาก

5. การบรรจุและการเลือกประเภทตู้คอนเทนเนอร์

5.1 การบรรจุ (Packing)

  • เลือกวัสดุห่อหุ้มและกล่องที่แข็งแรง ป้องกันความชื้นหรือแรงกระแทกระหว่างขนส่ง
  • ติดสัญลักษณ์และฉลากเตือนให้ชัดเจน เช่น สินค้าเปราะบาง (Fragile) หรือสินค้าที่ต้องวางทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
  • หากเป็นสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (เช่น อาหารแช่แข็ง) ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้คอนเทนเนอร์แช่เย็น (Reefer Container) และมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม

5.2 ประเภทตู้คอนเทนเนอร์

  1. Dry Container: สำหรับสินค้าแห้งทั่วไป
  2. Reefer Container: สำหรับสินค้าเย็น แช่แข็ง หรือต้องควบคุมอุณหภูมิ
  3. Open Top / Flat Rack: สำหรับสินค้าที่มีขนาดเกินกว่าประตูตู้มาตรฐาน
  4. FCL vs. LCL: ถ้าสินค้าเต็มตู้หรือใกล้เต็ม ควรใช้ FCL เพื่อป้องกันการปะปนกับสินค้าอื่น แต่ถ้าปริมาณน้อยอาจเลือก LCL เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

6. ภาษีและค่าธรรมเนียมส่งออก

เมื่อต้องส่งสินค้าออกนอกประเทศ เราควรเข้าใจค่าใช้จ่ายอย่างรอบด้าน ทั้งภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพื่อวางแผนต้นทุนได้แม่นยำ

  • ค่าระวางเรือ (Freight): คิดเป็นต่อ CBM (cubic meter) หรือน้ำหนัก แล้วแต่ลักษณะสินค้า หรืออาจคิดเป็นต่อตู้ (FCL)
  • THC (Terminal Handling Charge): ค่าบริการท่าเรือ เช่น ค่ายกตู้ ค่าบริหารจัดการในท่าเรือ
  • เอกสารต่าง ๆ: เช่น ค่าทำใบกำกับสินค้า ค่าธรรมเนียมการยื่นใบขนสินค้าขาออก
  • ภาษีขาออก: ไทยอาจมีการเก็บภาษีขาออกบ้างในสินค้าบางประเภท (แต่ไม่แพร่หลายมากนัก)
  • ภาษีนำเข้าปลายทาง: ถ้าเงื่อนไขการขายระบุว่าเราต้องรับผิดชอบภาษีปลายทาง (DDP: Delivered Duty Paid) เราต้องรวมภาษีนี้ในโครงสร้างราคา

7. Incoterms และการประกันภัยสินค้า

7.1 Incoterms

Incoterms คือข้อตกลงสากลที่ระบุว่าผู้ขายและผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงช่วงไหนบ้าง ตัวอย่างเช่น

  • FOB (Free on Board): ผู้ขายรับผิดชอบจนกระทั่งสินค้าขึ้นเรือที่ท่าเรือต้นทาง หลังจากนั้นผู้ซื้อรับผิดชอบ
  • CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายดูแลค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงระหว่างทางที่เหลือเป็นของผู้ซื้อ
  • DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบทุกอย่างจนสินค้าถึงหน้าประตูผู้ซื้อ (รวมภาษีนำเข้าปลายทาง)

7.2 การทำประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

ในบางกรณีอาจไม่บังคับให้ทำประกัน แต่ถ้าสินค้ามีมูลค่าสูงหรือมีความเสี่ยง เช่น แตกหักง่าย เป็นของเน่าเสียง่าย ก็ควรทำไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายทุกอย่าง ยกเว้นที่ระบุเป็นข้อยกเว้น (เช่น สงคราม หรือการจงใจทำลาย)
  • Institute Cargo Clauses (A, B, C): แต่ละเงื่อนไขมีระดับการคุ้มครองต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทสินค้าและเส้นทางที่ใช้

8. ขั้นตอนการดำเนินการจริง

8.1 จองตู้และคอนเฟิร์มวันส่ง

เมื่อฝ่ายผลิตและคลังสินค้าพร้อม ผมจะติดต่อผู้ให้บริการขนส่ง (หรือ Freight Forwarder) เพื่อจองตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงระบุวันและเวลาที่ต้องการให้รถขนตู้เข้ามารับสินค้า ถ้าเป็น FCL ผมจะนัดหมายล่วงหน้าเพื่อให้การขนตู้เป็นไปอย่างราบรื่น

8.2 ตรวจสภาพตู้คอนเทนเนอร์

ก่อนบรรจุสินค้า ควรตรวจสภาพภายในตู้ให้เรียบร้อย เช่น มีรูรั่วหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือไม่ ถ้าพบปัญหา ควรแจ้งบริษัทขนส่งให้เปลี่ยนตู้ทันที

8.3 บรรจุสินค้า (Stuffing)

ขั้นตอนนี้ต้องคุมเข้มเรื่องวิธีวางสินค้าในตู้เพื่อป้องกันความเสียหาย ควรกระจายสินค้าน้ำหนักมากให้ทั่วพื้นที่ และป้องกันไม่ให้สินค้าเคลื่อนที่ได้ง่ายระหว่างขนส่ง

8.4 ซีลตู้ (Seal)

หลังการบรรจุเสร็จ จะมีการซีลตู้คอนเทนเนอร์เพื่อความปลอดภัย เมื่อถึงปลายทาง ผู้รับสินค้าจะตรวจสอบซีลอีกครั้งว่าตรงกับเอกสารหรือไม่


9. ติดตามสถานะระหว่างการขนส่ง

เมื่อสินค้าเริ่มเดินทางบนเรือแล้ว ผมจะติดตามสถานะผ่านระบบ Tracking ของสายเรือ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์หรือ API หากมีความล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศหรือท่าเรือแออัด ควรแจ้งให้ผู้ซื้อในต่างประเทศทราบโดยเร็ว เพื่อให้เตรียมการล่วงหน้าได้


10. เคลียร์สินค้าฝั่งปลายทาง

หากเงื่อนไข Incoterms ระบุว่าผู้ซื้อเป็นคนจัดการขั้นตอนศุลกากรปลายทาง (เช่น FOB หรือ CIF) หน้าที่หลักของเราก็จะลดลง แต่ถ้าเป็น DDP เราอาจต้องติดต่อหน่วยงานท้องถิ่นให้ช่วยเคลียร์สินค้า จ่ายภาษีนำเข้า และจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับ ซึ่งควรวางแผนร่วมกับ Freight Forwarder หรือเอเย่นต์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์


11. ประเมินผลและปรับปรุง

หลังจากที่สินค้าถึงมือลูกค้าต่างประเทศ ผมมักทำ “Post-shipment Review” เพื่อสรุปว่า

  1. ค่าใช้จ่ายจริง ที่เกิดขึ้นเทียบกับงบประมาณเป็นอย่างไร
  2. ระยะเวลาขนส่ง ตรงตามกำหนดที่ลูกค้าคาดหวังหรือไม่
  3. ปัญหา ที่พบระหว่างทาง เช่น เอกสารล่าช้า สินค้าเสียหาย ฯลฯ

เมื่อประเมินแล้ว ผมจะหารือกับทีมภายในบริษัท เพื่อวางแนวทางแก้ไขในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสายเรือใหม่ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ หรือการปรับปรุงระบบการทำงาน


12. เคล็ดลับจากประสบการณ์มือใหม่

  1. จัดทำ Checklists: รวบรวมขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมสินค้า เอกสารศุลกากร ไปจนถึงการติดตามเรือ ช่วยป้องกันการลืมงานยิบย่อย
  2. สื่อสารภายในอย่างชัดเจน: ทุกฝ่ายในบริษัทต้องเข้าใจบทบาทของตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดการตกหล่น หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน
  3. ศึกษากฎระเบียบอยู่เสมอ: พิธีการศุลกากรและภาษีของแต่ละประเทศอาจเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรติดตามข่าวสารในวงการโลจิสติกส์ เช่น เว็บไซต์กรมศุลกากร หรือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  4. ขยายเครือข่าย: รู้จักกับคนในวงการอื่น ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เราได้ความรู้หรือคำแนะนำที่มีประโยชน์แบบทันสถานการณ์
  5. เจรจาต่อรอง: หากบริษัทมีปริมาณส่งออกสม่ำเสมอ เราอาจขอส่วนลดค่าขนส่ง หรือได้ข้อเสนอที่ดีกว่าผู้ส่งออกขนาดเล็ก

บทสรุป

การดูแล วิธีส่งออกสินค้า โดยใช้เส้นทางเรืออาจดูยุ่งยากและมีรายละเอียดมากสำหรับพนักงานมือใหม่ แต่เมื่อผมเริ่มลงมือทำจริง ๆ และได้ร่วมงานกับทีมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ก็พบว่ากุญแจสำคัญคือ การวางแผน และ ความรอบคอบ ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การศึกษาเอกสาร พิธีการศุลกากร เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือที่เหมาะสม จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้ซื้อได้อย่างปลอดภัย

หากเราทำได้ดี ไม่เพียงแต่จะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุน และส่งเสริมภาพลักษณ์ในตลาดต่างประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้เห็นว่าเรา “พร้อม” และ “มืออาชีพ” ในการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นในเส้นทางนี้ ขอให้ลองนำแนวทางและเคล็ดลับที่ผมได้แชร์มาปรับใช้ รับรองว่าการส่งออกสินค้าทางเรือจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และยังเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในเวทีการค้าระดับโลกอีกด้วยครับ!

ปรึกษาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ติดต่อ SME Shipping โทร 02 105 7777 หรือ Line: @Shipping

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง “การส่งออกสินค้า” กลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดและสร้างยอดขายที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกระหว่างประเทศไม่ได้มีแค่การบรรจุสินค้าแล้วส่งผ่านขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยกระบวนการและกฎระเบียบมากมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื้อหาต่อไปนี้จะอธิบาย ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ตั้งแต่การวางแผนเบื้องต้น จนถึงการประเมินผลหลังสินค้าเดินทางถึงมือลูกค้า พร้อมทั้งสอดแทรกข้อควรระวังและเคล็ดลับในการเพิ่มโอกาสเติบโตในตลาดต่างประเทศ

1. การวิเคราะห์ตลาดและสินค้าที่จะส่งออก

ก้าวแรก ของผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวเข้าสู่ธุรกิจส่งออก คือ การวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหรือประเทศฝั่งยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง หรืออื่น ๆ โดยต้องคำนึงถึง:

  1. ความต้องการของตลาด: สินค้าประเภทใดที่กำลังเป็นที่ต้องการ มีเทรนด์หรือกระแสอะไรที่กำลังมาแรงในพื้นที่เป้าหมาย
  2. มาตรฐานและกฎระเบียบ: สินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภทต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพหรือได้รับใบรับรอง (Certificate) ตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้า เช่น สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป หรือสินค้าอุตสาหกรรมบางชนิด
  3. การแข่งขันในตลาด: ควรศึกษาว่าในตลาดนั้นมีสินค้าที่คล้ายคลึงกันมากน้อยแค่ไหน ใครคือผู้เล่นหลัก และคู่แข่งของคุณคือใคร

เมื่อเข้าใจทั้งสามประเด็นนี้ ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิต ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ได้อย่างตรงจุด


2. การเตรียมเอกสารและพิธีการศุลกากร

พิธีการศุลกากร เป็นส่วนสำคัญของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากผิดพลาดเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดต้นทุนและค่าปรับมหาศาล เอกสารที่จำเป็น มีดังนี้:

  1. ใบอนุญาตส่งออก (Export License): สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): ระบุข้อมูลของสินค้า ราคาต่อหน่วย จำนวน และเงื่อนไขการชำระเงิน
  3. บัญชีราคาสินค้า (Packing List): แสดงรายละเอียดของสินค้าที่บรรจุในแต่ละกล่อง/บรรจุภัณฑ์ โดยระบุขนาด น้ำหนัก และจำนวน
  4. ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin): ยืนยันว่าสินค้าได้รับการผลิตหรือผ่านกระบวนการเพียงพอในประเทศต้นทาง (Thailand)
  5. เอกสารประกันภัยสินค้า (ถ้ามี): บางครั้งผู้นำเข้าอาจต้องการหลักฐานว่ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายหรือสูญหาย

เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ต้องทำการยื่นเอกสารผ่านระบบศุลกากร (ปัจจุบันมีการให้บริการยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) และชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง การตรวจสอบข้อมูลในเอกสารจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบ


3. การเลือกวิธีขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ใน ขั้นตอนการส่งออกสินค้า การเลือกระบบขนส่งมีบทบาทสำคัญต่อเวลาจัดส่งและต้นทุน โดยหลัก ๆ มี 3 วิธี ดังนี้:

  1. ขนส่งทางเรือ (Sea Freight)
    • ข้อดี: ต้นทุนถูก เหมาะกับสินค้าจำนวนมาก น้ำหนักมาก หรือต้องการขนส่งระยะไกลที่สามารถใช้เวลาพอสมควร
    • ข้อจำกัด: ใช้เวลานาน อาจมีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศ
  2. ขนส่งทางอากาศ (Air Freight)
    • ข้อดี: รวดเร็ว เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความสดใหม่หรือมีมูลค่าสูง
    • ข้อจำกัด: ค่าขนส่งแพงกว่า จึงเหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักเบา
  3. ขนส่งทางบก (Land Transport)
    • ข้อดี: เหมาะกับการขนส่งในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อาเซียน หรือประเทศเพื่อนบ้าน
    • ข้อจำกัด: มักขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ด่านชายแดน และกฎระเบียบทางภาครัฐ

นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบอัตราค่าขนส่งเงื่อนไขของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือ ช่วงระยะเวลาในการจัดส่ง และบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การติดตามสินค้าผ่านระบบออนไลน์


4. การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

เมื่อสินค้าเดินทางไปยังตลาดต่างประเทศ ความเสี่ยงด้านความเสียหายหรือสูญหายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศ ทะเล หรือแม้แต่กระบวนการขนถ่ายสินค้าในท่าเรือและสนามบิน ดังนั้น การทำประกันภัยสินค้า ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการส่งออก โดยมีระดับความคุ้มครองหลายแบบ เช่น

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายแทบทุกกรณี ยกเว้นที่ระบุไว้ในเงื่อนไข
  • Free From Particular Average (FPA): คุ้มครองความเสียหายครั้งใหญ่ เช่น เรือล่ม แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายเล็กน้อย
  • Institute Cargo Clauses: เงื่อนไขประกันภัยสากลที่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ

ผู้ส่งออกควรเลือกประกันภัยตามลักษณะของสินค้าและระดับความเสี่ยง หากสินค้ามีมูลค่าสูง เช่น เครื่องจักร อัญมณี หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจคุ้มค่าที่จะทำประกันในระดับ All Risks


5. การกำหนดเงื่อนไขการขายและการชำระเงิน (Incoterms)

เงื่อนไขการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Incoterms (International Commercial Terms) เป็นข้อตกลงที่ใช้กันทั่วโลก กำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อว่าฝ่ายใดเป็นผู้จัดการขนส่ง จ่ายค่าภาษี หรือรับความเสี่ยงหากสินค้าเสียหาย ยกตัวอย่าง Incoterms ที่พบบ่อย:

  1. EXW (Ex Works): ผู้ขายมีหน้าที่แค่เตรียมสินค้าให้พร้อมในสถานที่กำหนด ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบขนส่งและค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  2. FOB (Free on Board): ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าขึ้นเรือหรือยานพาหนะที่ท่าเรือ/ท่าอากาศยานที่กำหนด ผู้ซื้อรับผิดชอบความเสี่ยงหลังจากนั้น
  3. CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายรับผิดชอบค่าสินค้า ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย จนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงเรื่องความเสียหายของสินค้าหลังขึ้นเรือเป็นของผู้ซื้อ
  4. DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีนำเข้า จนถึงปลายทางตามตกลง

การเลือกใช้ Incoterms ที่ถูกต้องจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและลดการขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง


6. การจัดการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

กฎหมายและระเบียบการส่งออก ของแต่ละประเทศแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบ ต้นทุนและภาษีในการส่งออก อย่างรอบคอบ เช่น

  • ภาษีส่งออก (Export Tax): แม้จะไม่พบบ่อยนัก แต่บางประเทศอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าบางประเภทรวมถึงประเทศไทยในบางกรณี
  • ภาษีนำเข้า (Import Duty): ผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าอาจต้องชำระตามกฎหมายของประเทศปลายทาง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST): ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจของประเทศปลายทาง
  • ค่าใช้จ่ายท่าเรือ/สนามบิน: ค่าธรรมเนียมท่าเรือ ท่าบรรทุกสินค้า ค่าจัดการเอกสารต่าง ๆ

การประสานงานกับบริษัทชิปปิ้ง (Shipping) หรือบริษัทโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศเป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสผิดพลาดและทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน


7. การตลาดและการสร้างเครือข่ายในตลาดต่างประเทศ

เมื่อสินค้าเดินทางไปถึงต่างแดน สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำต่อไปคือ การตลาดในตลาดต่างประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ สินค้าคุณภาพดีแค่ไหน หากไม่มีการโปรโมต ก็ยากที่จะสร้างยอดขายอย่างที่คาดหวัง วิธีการหลัก ๆ ได้แก่:

  1. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (Trade Fair): โอกาสในการสร้างเครือข่าย พบปะผู้ซื้อ ปิดดีลธุรกิจ และสำรวจแนวโน้มตลาด
  2. การตลาดออนไลน์: ใช้โซเชียลมีเดีย เครือข่าย E-commerce เพื่อเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้รวดเร็ว
  3. ตัวแทนจำหน่ายหรือพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น: การมีตัวแทนท้องถิ่นช่วยเจาะตลาดและวางกลยุทธ์การขายได้ตรงใจผู้บริโภค

8. การติดตามและประเมินผลหลังการส่งออก

เมื่อสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว อย่าลืม ติดตามผล ว่าสินค้าถึงเวลาและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ หากเกิดความเสียหาย ควรติดต่อบริษัทขนส่งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเรียกค่าสินไหมชดเชยตามประกันที่ทำไว้

นอกจากนี้ การประเมินผล การส่งออกยังครอบคลุมถึง

  • ต้นทุนที่เกิดขึ้นเทียบกับรายได้: วิเคราะห์ว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงและเวลาในการจัดการหรือไม่
  • ความพึงพอใจของลูกค้า: การขอ Feedback หรือรีวิวช่วยให้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไรในการส่งออกครั้งถัดไป
  • โอกาสขยายตลาดในอนาคต: หากตลาดนี้มีศักยภาพสูงและการแข่งขันไม่รุนแรงจนเกินไป การวางแผนขยายกำลังการผลิตหรือการส่งออกก็เป็นก้าวถัดไปที่น่าสนใจ

9. การบริหารความเสี่ยงในธุรกิจส่งออก

ธุรกิจส่งออกมีความเสี่ยงหลายด้าน ตั้งแต่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในตลาดเป้าหมาย เคล็ดลับในการบริหารความเสี่ยง ได้แก่:

  1. ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ทำสัญญาซื้อ-ขายเงินตราล่วงหน้า (Forward Contract) หรือใช้เครื่องมือการเงินอื่น ๆ เพื่อป้องกันความผันผวน
  2. กระจายตลาด: อย่าพึ่งพาตลาดเดียว ควรขยายไปยังหลาย ๆ ประเทศ เพื่อไม่ให้ยอดขายตกลงอย่างหนักในกรณีตลาดหลักชะลอตัว
  3. อัปเดตกฎหมายและแนวโน้มโลก: กฎหมายระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงสภาพการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ จึงควรติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

10. เคล็ดลับเพื่อความสำเร็จระยะยาว

  1. ลงทุนด้านคุณภาพ: สินค้าที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากลย่อมได้เปรียบในการส่งออก
  2. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: ลูกค้าต่างประเทศมักให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ การสร้างแบรนด์ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า
  3. หาโอกาสในโลกดิจิทัล: E-commerce แพลตฟอร์มระหว่างประเทศ หรือ Marketplaces อย่าง Alibaba, Amazon Global สามารถลดต้นทุนการตลาดและเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
  4. ฝึกอบรมทีมงาน: ทีมงานที่เข้าใจกระบวนการส่งออกและมีทักษะเจรจาต่อรอง รวมถึงภาษาอังกฤษ (หรือภาษาท้องถิ่นของตลาดเป้าหมาย) จะช่วยลดความผิดพลาดและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้บริษัท

สรุป

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า นั้นมีรายละเอียดหลากหลาย ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการเอกสาร พิธีการศุลกากร การขนส่งระหว่างประเทศ การประกันภัยสินค้า และการบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศจำเป็นต้องศึกษาและวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

อย่างไรก็ดี การส่งออกยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ การต่อยอดธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับคู่ค้าที่หลากหลายในระดับสากลเป็นสิ่งที่อาจทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ หากผู้ประกอบการมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น พัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ก็สามารถดำเนินธุรกิจ ส่งออกระหว่างประเทศ ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการที่กำลังสนใจการค้าระหว่างประเทศได้เข้าใจภาพรวมของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม หากมีการติดตามเทรนด์ตลาด และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ ปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการอย่างไม่หยุดนิ่ง ความสำเร็จในตลาดโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • การหาข้อมูลเพิ่มจากหน่วยงานสนับสนุนการส่งออก เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
  • หากยังไม่มั่นใจในกระบวนการ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้บริการบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการส่งออกโดยเฉพาะ
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) และนโยบายภาษีต่าง ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ หรือสร้างเงื่อนไขใหม่ ๆ ในการส่งออก

การส่งออกเป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกกว้างที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย แต่หากผู้ประกอบการพร้อมเต็มที่ทุกขั้นตอน ย่อมมีแนวโน้มประสบความสำเร็จและเติบโตได้ไกลในตลาดสากล

การส่งอาหารไปอเมริกา: ทำไมพัสดุบางชิ้นผ่านได้ บางชิ้นไม่ได้  

เหตุผลที่พัสดุขนาดเล็กบางครั้งส่งอาหารเข้าอเมริกา ได้ และบางครั้งไม่ได้ 

อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและไม่ได้มีเพียงเหตุเดียว เช่น: 

ความแตกต่างในกฎระเบียบของผู้ให้บริการ (Carrier Policy) และเส้นทางการขนส่ง 

  • ผู้ให้บริการ (DHL, FedEx, UPS หรือไปรษณีย์) อาจใช้เส้นทางหรือจุดตรวจศุลกากรที่แตกต่างกัน ทำให้การตีความกฎระเบียบและการตรวจสอบไม่เหมือนกัน 
  • บริษัทขนส่งบางแห่งมี “รายชื่อสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ” ไม่เหมือนกัน จึงเกิดกรณีที่ผู้ให้บริการรายหนึ่งส่งได้ แต่อีกรายส่งไม่ได้ 

ความเข้มงวดของศุลกากรและหน่วยงานกำกับดูแลในอเมริกา (เช่น FDA) 

  • อเมริกา มีกฎหมายควบคุมการนำเข้าอาหารค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือความปลอดภัยอาหาร 
  • พัสดุขนาดเล็กอาจได้รับการตรวจคัดกรองแบบสุ่ม (Random Check) บางชิ้น “อาจหลุด” ผ่านไปได้ ในขณะที่บางชิ้นถูกสุ่มตรวจพบและถูกระงับหรือตีกลับ 

การสำแดงสินค้า (Declaration) และเอกสารประกอบ 

  • หากในการกรอกเอกสารส่งออก/นำเข้า (Customs Declaration) หรือเอกสารด้านอาหาร (เช่น Certificate of Origin, ใบอนุญาตนำเข้าอาหาร) ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามเงื่อนไข อาจทำให้สินค้าถูกปฏิเสธ 
  • การระบุรายการสินค้าอย่างชัดเจนและถูกต้อง (เช่น “Dried Fruit” หรือ “Instant Snack”) อาจช่วยให้การผ่านศุลกากรง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการเขียนไม่ชัดเจน (เช่น “Food” เฉย ๆ) 

กฎหมายนำเข้าสินค้าสำหรับบุคคลทั่วไป vs. เชิงพาณิชย์ 

  • ถ้าเป็นการส่งแบบ “ของขวัญ” หรือ “สั่งซื้อส่วนตัว” (Personal Use) ในปริมาณน้อย บางทีเจ้าหน้าที่จะผ่อนปรนมากกว่าการนำเข้าเชิงพาณิชย์ที่ต้องขออนุญาตเฉพาะ 
  • แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหารที่ส่งและด่านตรวจที่รับผิดชอบด้วย 

ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (Officer Discretion) 

  • แม้จะใช้เอกสารเดียวกัน ส่งสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ด่านศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่คนละคนอาจให้คำวินิจฉัยที่ต่างกันได้ 

ปรึกษาเรื่องการส่งสินค้าไปที่อเมริกา อย่าลืมติดต่อมาที่ SME Shipping โทร 021057777 หรือ ไลน์ @shipping

6 ปัจจัยเรื่องค่าขนส่งที่ผู้ประกอบการควรทราบ | SME Shipping

6 ปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ผู้ประกอบการควรรู้

ค่าขนส่งระหว่างประเทศถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ประกอบการ หรือคนที่ทำธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งมีผลต่อราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดโลก เพราะปัจจุบันไม่ได้มีเพียงขนส่งเจ้าเดียวที่ให้บริการ แต่มีหลากหลายเจ้าที่พร้อมทำการตลาดและบริการที่ดีเพื่อตอบสนองต่อผู้ประกอบการอยู่เสมอ ซึ่งค่าขนส่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทของสินค้า วิธีการขนส่ง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ และเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งและสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ โดยบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของปัจจัยทั้ง 6 ข้อที่มีบทบาทสำคัญต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ควรรู้กัน

1. ระยะทางและเส้นทางขนส่ง

ระยะทางเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง ยิ่งปลายทางอยู่ไกล ค่าขนส่งก็จะสูงขึ้น และหากเส้นทางขนส่งที่ต้องผ่านหลายประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าผ่านทางหรือค่าประกันสินค้า เส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือเส้นทางที่ถนนไม่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งอาจทำให้ต้องเสียค่าประกันภัยเพิ่มขึ้น

2. ประเภทของสินค้า

ลักษณะของสินค้ามีผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เพราะสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร หรือสินค้าก่อสร้าง ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง มีการห่อหุ้มที่แน่นหนามากขึ้นตามน้ำหนักจะมีค่าขนส่งสูงกว่าสินค้าที่มีขนาดเล็กและเบา นอกจากนี้ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (สินค้าแช่แข็ง) สินค้าอันตราย (เช่น สารเคมี) หรือสินค้ามีมูลค่าสูง (เช่น เครื่องเพชร) มักมีค่าขนส่งแพงขึ้นเนื่องจากต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

3. วิธีการขนส่ง (Shipping Mode)

วิธีการขนส่งมีผลต่อระยะเวลาการจัดส่งและต้นทุนโดยรวม แม้ว่าการขนส่งทางอากาศแม้จะรวดเร็ว แต่ก็มีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือ ขณะที่การขนส่งทางเรือมีต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า ส่วนการขนส่งทางรถไฟหรือทางถนนเหมาะกับการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การขนส่งจากไทยไปลาว มาเลเซีย หรือจีน

4. ภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร

ภาษีนำเข้าสินค้า ภาษาษีขนส่ง และค่าธรรมเนียมศุลกากรของแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบและอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อค่าขนส่ง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าธรรมเนียมศุลกากร ค่าบริการตรวจสอบสินค้า และค่าเอกสารต่างๆ หากผู้ประกอบการไม่ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทางให้ดี อาจต้องเสียค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งออกต่างประเทศ ผู้ประกอบการต้องศึกษาเรื่องภาษีนำเข้าให้ละเอียกและรอบคอบทุกครั้ง

5. อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนน้ำมัน

ค่าขนส่งระหว่างประเทศมักกำหนดเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น หากค่าเงินผันผวนอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดได้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เนื่องจากเป็นต้นทุนหลักของสายการบิน สายเรือ และรถบรรทุก เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น สายการขนส่งมักปรับค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงขึ้นตามไปด้วย

6. ฤดูกาลและสภาวะตลาด

ฤดูกาลและสภาวะตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง เพราะช่วงเวลาที่มีความต้องการขนส่งสูง เช่น ช่วงเทศกาล ช่วงปลายปี หรือช่วงก่อนเปิดเทอม มักทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการใช้บริการสูง นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง เช่น ภัยธรรมชาติ การประท้วง หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การทำธุรกิจระหว่างประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง ไม่เพียงแต่เรื่องระยะทางและวิธีการขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาต้นทุนแฝงอื่นๆ เช่น ภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และสภาวะตลาด การวางแผนและบริหารต้นทุนค่าขนส่งอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้

โลจิสติกส์สีเขียว กับความสำคัญต่อธุรกิจ | SME Shipping

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญ

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจกับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการขนส่งและซัพพลายเชน นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักว่าโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไรและช่วยธุรกิจได้อย่างไรในปัจจุบัน

Green Logistics คืออะไร?

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เป็นแนวทางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่เน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในทุกกระบวนการโลจิสติกส์ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง การกระจายสินค้า ไปจนถึงการบริหารซัพพลายเชนทั้งหมด

ผู้ประกอบการ SME ต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังไง?

ผู้ประกอบการ SME จำเป็นต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวเพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเติบโตคสบคู่ไปกับโลกยุคปัจจุบัน ดังนี้

  1. แนวโน้มตลาดและความต้องการของลูกค้า: ปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. ข้อกำหนดและกฎหมาย: หลายประเทศออกกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า
  3. การลดต้นทุนในระยะยาว: การใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางขนส่ง และการลดของเสียสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้
  4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: ธุรกิจที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น

ประโยชน์ของ Green Logistics

การนำแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียวมาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรรวมทั้งข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการ SME ควรรู้ ได้แก่

  1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน: การใช้พลังงานสะอาดและระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเชื้อเพลิง
  2. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมาย: ลดความเสี่ยงในการถูกปรับหรือถูกจำกัดการทำธุรกิจจากข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม
  5. ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร: แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า

โลจิสติกส์สีเขียวจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และไม่ใช่เพียงแนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในระยะยาว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นอกจากนี้ การปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวคิดเดียวกัน ดังนั้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์สีเขียวจะสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ในระยะยาวได้อีกด้วย

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศ | SME Shipping

สินค้าขนาดใหญ่ ส่งไปต่างประเทศอย่างไรให้คุ้มต้นทุนที่สุด

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น ค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า วิธีการจัดส่ง และการบรรจุภัณฑ์ หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจทำให้ต้นทุนสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การส่งสินค้าคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม ใช้บริษัทโลจิสติกส์ที่มีราคาประหยัด หรือการลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์  ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าที่สุด

1.เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสมช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ การเลือกส่งสินค้าให้คุ้มต้นทุนที่สุดจึงควรพิจารณาความเร็ว ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดของแต่ละช่องทาง ดังนี้

     1.1 ส่งทางเรือ (Sea Freight): เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่และหนัก มีต้นทุนต่ำกว่าทางอากาศ แต่ใช้เวลานาน (2-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปลายทาง)

  • FCL (Full Container Load): เช่าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้ คุ้มค่าสำหรับสินค้าปริมาณมาก
  • LCL (Less than Container Load): แชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ เหมาะสำหรับสินค้าจำนวนน้อยที่ไม่เต็มตู้

     1.2 ส่งทางอากาศ (Air Freight): เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว แต่มีต้นทุนสูง เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงและน้ำหนักเบา

     1.3 ส่งทางรถบรรทุกหรือรถไฟ (Rail/Road Freight): ใช้ได้กับบางประเทศ เช่น ในเอเชียหรือยุโรป ค่าขนส่งต่ำกว่าทางอากาศและเร็วกว่าทางเรือ

2. ใช้บริษัทขนส่งที่ให้บริการครบวงจร

การเลือกบริษัทโลจิสติกส์ที่มีบริการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้า แพ็กกิ้ง ไปจนถึงการจัดการศุลกากร เพื่อความสะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดส่ง ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทขนส่งที่ครอบคลุมทุกบริการทั้งในและต่างประเทศ เช่น

  • DHL Express: ให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ โดยรองรับน้ำหนักสูงสุด 1,000 กิโลกรัมต่อชิ้น และน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,000 กิโลกรัมต่อการจัดส่ง ขนาดสูงสุดต่อชิ้นคือ ความยาว 300 ซม. และความกว้าง 200 ซม. ​
  • TNT Express: มีบริการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุที่มีขนาดเกินมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่เลือก ​
  •  LIDI Express: ให้บริการส่งของไปต่างประเทศสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ของใช้ส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์ และการย้ายบ้าน พร้อมบริการเข้ารับถึงที่ทั่วประเทศ และส่งตรงถึงหน้าบ้านปลายทาง ​
  •  SME SHIPPING: เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ไปยังต่างประเทศทั่วโลก เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ารายย่อยทั่วไป ​
  • Fast Ship: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปกับบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ผ่านบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ เช่น FedEx, Aramex, UPS ​

3.  คำนึงถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุขนาดใหญ่

การส่งพัสดุที่มีขนาดหรือความยาวเกินมาตรฐานอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น พัสดุที่มีความยาวเกิน 100 เซนติเมตร อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพื้นที่จัดเก็บ ค่าขนย้ายพิเศษ หรือค่าธรรมเนียมการส่งด่วน ดังนั้น ก่อนทำการส่งสินค้าจึงควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากขึ้นและอาจต้องใช้พาหนะพิเศษในการขนส่ง

4. การแพ็กสินค้าที่เหมาะสม

การแพ็กสินค้าควรทำอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการกระแทกและความเสียหายระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่บอบบาง ควรห่อด้วยวัสดุป้องกันการกระแทกหลายชั้น และปิดผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อย ​ลดต้นทุนค่าขนส่ง ควรเลือกวัสดุที่แข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดค่าใช้จ่าย

5. ศึกษาภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมปลายทาง

ในแต่ละประเทศมีกฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน การศึกษาและเตรียมเอกสารให้ถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศอย่าลืมตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ให้เรียบร้อย

  • ตรวจสอบพิกัดศุลกากร (HS Code) และอัตราภาษีของประเทศปลายทาง
  • ใช้เงื่อนไข DDP (Delivered Duty Paid) หรือ DAP (Delivered at Place) ตามข้อตกลงกับลูกค้า เพื่อลดต้นทุนรวม

การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าต้นทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด น้ำหนัก ปลายทาง และระยะเวลาที่ต้องการให้สินค้าถึงที่หมาย ดังนั้น การเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมและการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นไปอย่างคุ้มค่า ปลอดภัย และคุ้มต้นทุนที่สุดนั่นเอง 

Shipping Label คืออะไรกับสิ่งที่คุณควรรู้ | SME Shipping

Shipping Label คืออะไร? วิธีทำให้ถูกต้องเพื่อลดความผิดพลาดในการขนส่ง

ในยุคที่การค้าขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การขนส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยให้กระบวนการนี้ราบรื่นคือ “Shipping Label” หรือ ฉลากขนส่ง เป็นอีกหนึ่งเอกสารที่แนบมากับพัสดุเพื่อนำส่งสินค้าไปยังปลายทาง เพื่อช่วยลดความผิดพลาดในระหว่างการขนส่ง เพราะหากฉลากขนส่งมีข้อผิดพลาด อาจทำให้พัสดุตกหล่น ส่งล่าช้า หรือถึงที่หมายผิดพลาดได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งสินค้าจึงควรให้ความสำคัญกับการออกแบบและติดตั้ง Shipping Label อย่างถูกต้อง ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Shipping Label และวิธีการใช้งานให้ถูกต้องเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการขนส่ง

Shipping Label คืออะไร

Shipping Label คือ ฉลากที่ระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับพัสดุ เช่น ชื่อและที่อยู่ผู้ส่ง ชื่อและที่อยู่ผู้รับ หมายเลขติดตามพัสดุ (Tracking Number) บาร์โค้ด หรือ QR Code ที่ใช้สำหรับตรวจสอบสถานะการจัดส่ง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทขนส่ง ขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า ฉลากนี้ช่วยให้บริษัทขนส่งสามารถจัดการพัสดุได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบ: https://craftmypdf.com/tools/free-online-shipping-label-maker/ 

ความสำคัญของ Shipping Label

หนึ่งในองค์ประกอบที่ช่วยให้พัสดุถึงมือผู้รับได้อย่างถูกต้องคือ Shipping Label หรือ ฉลากขนส่ง ซึ่งเป็นสติกเกอร์หรือเอกสารที่ติดอยู่บนกล่องพัสดุเพื่อระบุรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการจัดส่ง โดย Shipping Label ที่ชัดเจนและถูกต้องไม่เพียงช่วยให้บริษัทขนส่งดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังลดปัญหาการส่งผิดพลาดและป้องกันพัสดุสูญหาย และข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการควรใช้ให้ถูกต้อง ได้แก่

  1. ป้องกันข้อผิดพลาดในการจัดส่ง เพราะข้อมูลที่ถูกต้องช่วยให้พัสดุถูกส่งไปยังที่หมายอย่างแม่นยำ
  2. เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ช่วยให้บริษัทขนส่งสามารถคัดแยกและจัดลำดับการส่งได้ง่ายขึ้น
  3. ติดตามสถานะพัสดุได้สะดวกจากหมายเลขติดตามและบาร์โค้ด ช่วยให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบสถานะสินค้าได้ตลอดเวลา
  4. ลดต้นทุนจากการส่งผิดหรือสูญหาย หาก Shipping Label ชัดเจนและถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสที่พัสดุจะถูกส่งผิดที่หรือสูญหาย 

วิธีลดความผิดพลาดในการขนส่งด้วย Shipping Label

  1. ตรวจสอบที่อยู่ผู้รับให้ละเอียด โดยชื่อที่อยู่ของผู้รับต้องถูกต้องและครบถ้วน รวมถึงรหัสไปรษณีย์ หมายเลขโทรศัพท์ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีการสะกดชื่อผิด หรือที่อยู่ไม่ชัดเจน
  2. เลือกบริการขนส่งที่เหมาะสม ต้องคำนึงถึงขนาด น้ำหนัก ประเภทของสินค้า เลือกขนาดกล่องหรือพัสดุที่พอดีกับสินค้าจะช่วยลดความเสียหายและค่าส่ง
  3. ระบุรายละเอียดการติดตาม (Tracking Number) เพื่อให้สามารถตรวจสอบว่าเลขพัสดุ (Tracking Number) ถูกรวมใน Shipping Label และสามารถใช้ติดตามสถานะของการขนส่งได้
  4. ตรวจสอบความชัดเจนและความสมบูรณ์ของข้อมูล โดยเลือกใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย และหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรเล็ก หรือฟอนต์ที่ยากต่อการอ่าน
  5. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการชำระเงิน (ถ้ามี)
  6. ติดป้ายในที่ที่เหมาะสม โดยป้ายควรติดที่ด้านบนหรือด้านข้างของพัสดุ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ขนส่งสามารถเห็นข้อมูลได้ชัดเจน และหากมีหลายป้ายควรติดให้พอดี และตรวจสอบว่าไม่มีข้อมูลซ้ำซ้อน
  7. ตรวจสอบข้อกำหนดและเงื่อนไขในการส่งสินค้าของบริการขนส่งว่ามีข้อจำกัดหรือสินค้าบางประเภทห้ามส่งหรือไม่ เช่น ของเหลวหรือของอันตราย

การให้ความสำคัญกับ Shipping Label และตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบก่อนการส่งพัสดุ จะช่วยลดข้อผิดพลาดในการขนส่ง สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ควรมองหาสำหรับบริการช่วยแพ๊คสินค้า | SME Shipping

บริการที่ควรมองหาสำหรับบริการช่วยแพ๊คสินค้า

การดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งสินค้า หนึ่งในสิ่งที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ คือการแพ็คสินค้าก่อนนำไปส่งให้กับผู้รับ เพราะหากสินค้าที่แพ็คไปเกิดความสเียหายระหว่างการขนส่งก็อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ไม่ว่าจะด้านความน่าเชื่อถือและต้นทุนการขนส่งที่ต้องรับเมื่อลูกค้าตีของกลับมายังร้านของผู้ประกอบการ ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปทำความรู้จักกับบริการที่ควรมองหาเมื่อต้องการใช้บริการช่วยแพ็คสินค้า

บริการแพ็คสินค้า คืออะไร?

บริการแพ็คสินค้า คือบริการที่ช่วยบรรจุและจัดเตรียมสินค้าสำหรับการจัดส่งหรือจำหน่าย โดยมุ่งเน้นให้สินค้าถูกแพ็คอย่างเหมาะสม ปลอดภัย และมีมาตรฐาน ซึ่งช่วยลดความเสียหายระหว่างการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เป็นอีกบริการที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความผิดพลาดในการขนส่ง เพราะผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้บริการแพ็คสินค้าที่เหมาะสมสามารถช่วยให้สินค้าถูกบรรจุอย่างปลอดภัย ลดความเสียหายระหว่างการขนส่ง และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าด้วยบริการที่มีมาตรฐาน

องค์ประกอบของบริการแพ็คสินค้า

  • การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น กล่องกระดาษ แพ็คสูญญากาศ หรือกันกระแทก
  • การซีลหรือห่อหุ้มสินค้า เพื่อป้องกันฝุ่น ความชื้น หรือการกระแทก
  • การติดฉลากหรือบาร์โค้ด เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบและจัดส่ง
  • บริการเสริมอื่น ๆ เช่น การจัดเซ็ตสินค้า การพิมพ์โลโก้ หรือการแพ็คตามเงื่อนไขเฉพาะ

ความสำคัญของบริการแพ็คสินค้าในระบบโลจิสติกส์

บริการแพ็คสินค้ามีบทบาทสำคัญในระบบโลจิสติกส์ เพราะเป็นกระบวนการที่ช่วยให้การขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหาย และเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า การแพ็คสินค้าที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง แต่ยังช่วยให้กระบวนการจัดเก็บ คัดแยก และจัดส่งเป็นระบบมากขึ้น

  1. ป้องกันความเสียหายของสินค้า ลดความเสี่ยงจากการกระแทก ความชื้น หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้สินค้าชำรุดระหว่างการขนส่ง
  2. เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง เพราะการแพ็คที่ดีช่วยให้สินค้าสามารถซ้อนกันได้ง่าย ประหยัดพื้นที่ในคลังสินค้าและพาหนะขนส่ง
  3. ช่วยให้การบริหารคลังสินค้าเป็นระบบมากขึ้น เพราะสินค้าที่ถูกแพ็คอย่างเหมาะสมสามารถจัดเก็บและคัดแยกได้ง่าย ลดเวลาการค้นหาและขนย้าย
  4. เพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจ เนื่องจากการแพ็คสินค้าที่ดีช่วยให้สินค้าถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ สร้างความพึงพอใจ และเพิ่มโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำจากความใส่ใจในข้อนี้
  5. รองรับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ปัจจุบันการซื้อขายออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว บริการแพ็คสินค้าช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการคำสั่งซื้อจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลือกบริการแพ็คที่มั่นใจ เลือกใช้ SME Shipping

หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการแพ็คสินค้าที่มีคุณภาพ SME Shipping เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาด โดยให้บริการแพ็คสินค้าระดับมืออาชีพที่ช่วยลดความยุ่งยากของผู้ประกอบการ และช่วยให้กระบวนการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นด้วยการบริการที่ใส่ในทุกสินค้าของคุณ รวมทั้งข้อดีอื่นๆ เมื่อใช้บริการของเรา อาทิ

  • ใช้วัสดุคุณภาพสูงในการแพ็คสินค้าตามมาตรฐานสากล เพื่อลดความเสียหายระหว่างขนส่ง
  • รองรับทั้งสินค้าเปราะบาง สินค้าน้ำหนักเบา และสินค้าขนาดใหญ่
  • ไม่ต้องเสียเวลาจัดเตรียมอุปกรณ์เอง SME Shipping ดูแลให้ทั้งหมด เพื่อช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาการทำงาน
  • รองรับการขนส่งระหว่างประเทศ ตามมาตรฐานศุลกากร พร้อมบริการขนส่งทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ

วิธีการคำนวนภาษีนำเข้าสำหรับผู้ประกอบการ | SME Shipping

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศ | SME Shipping

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ