Shipping API ตัวช่วยสำหรับร้านค้าออนไลน์ | SME Shipping

Shipping API คืออะไร? ตัวช่วยสำคัญสำหรับร้านค้าออนไลน์

ในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดการระบบขนส่งให้ทันสมัยและแม่นยำกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าแข่งขันได้เหนือกว่า ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญในระบบโลจิสติกส์ยุคใหม่ก็คือ Shipping API ที่จะช่วยเชื่อมต่อร้านค้าของคุณกับผู้ให้บริการขนส่งภายนอก โดยทำให้กระบวนการคำนวณค่าส่ง การสร้างใบจ่าหน้า และการติดตามพัสดุเป็นไปอย่างราบรื่นและอัตโนมัติ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปค้นหาคำตอบว่า Shipping API คืออะไร? และสำคัญกับร้านค้าออนไลน์ในยุคนี้อย่างไรบ้าง

API คืออะไร?

API (Shipping API) คืออินเทอร์เฟซโปรแกรมประยุกต์ที่ช่วยให้เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้บริการขนส่งต่าง ๆ เช่น Kerry Express, Flash Express, DHL, ไปรษณีย์ไทย ฯลฯ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลด้วยตนเองหรือสลับระบบหลายขั้นตอน และถูกพัฒนาขึ้นมาใช้งาน ดังนี้

  • คำนวณอัตราค่าจัดส่งแบบอัตโนมัติ
  • จองและพิมพ์ใบจ่าหน้า
  • ติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์
  • เช็คพื้นที่ให้บริการและระยะเวลาการจัดส่ง

ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องใช้ Shipping API?

การใช้ Shipping API จะช่วยให้คุณสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและราบรื่นขึ้น จากข้อดีของ Shipping API ดังนี้

  1. ลดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูล โดยการเชื่อมโยงข้อมูลการจัดส่งโดยตรงกับผู้ให้บริการ
  2. คำนวณค่าส่งอัตโนมัติ ลดการคาดเดาราคาค่าส่งและทำให้การคำนวณแม่นยำยิ่งขึ้น
  3. ติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณและลูกค้าทราบสถานะการจัดส่งตลอดเวลา
  4. ประหยัดเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำหลายครั้ง และลดการทำงานด้วยมือ
  5. ปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยการจัดส่งที่รวดเร็วและแม่นยำ

Shipping API ทำงานอย่างไร?

เมื่อมีคำสั่งซื้อ ระบบร้านค้าจะส่งข้อมูลที่จำเป็นไปยัง API ของผู้ให้บริการขนส่งที่เชื่อมต่ออยู่ เพื่อเรียกดูข้อมูลค่าบริการและรายละเอียดการจัดส่ง โดย API จะตอบกลับพร้อมข้อมูลสำคัญ เช่น

  • คำนวณค่าจัดส่งที่แม่นยำ ตามน้ำหนัก ขนาดพัสดุ และปลายทาง
  • แสดงตัวเลือกบริการขนส่ง ให้ลูกค้าเลือก เช่น ส่งด่วน, ส่งธรรมดา, หรือส่งแบบประหยัด
  • สร้างเลขพัสดุและใบจ่าหน้าอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการทำงานด้วยมือ และลดข้อผิดพลาด

กระบวนการทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์และอัตโนมัติ ช่วยให้การจัดส่งสินค้ารวดเร็วขึ้น สะดวกขึ้น และสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

วิธีเลือก Shipping API ที่เหมาะสมสำหรับร้านค้าของคุณ

ในการเลือก Shipping API สำหรับร้านค้าออนไลน์ ผู้ประกอบการควรพิจารณาการใช้งานจากปัจจัยต่อไปนี้

  1. ความครอบคลุมของผู้ให้บริการขนส่ง: เลือก API ที่รองรับการเชื่อมต่อกับหลายผู้ให้บริการ
  2. การสนับสนุนแพลตฟอร์มของคุณ: ค้นหา API ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบร้านค้าของคุณได้ง่าย เช่น Shopify, WooCommerce, Magento
  3. เอกสาร API และการสนับสนุน: ตรวจสอบว่าเอกสารการใช้งานของ API ชัดเจนและรองรับการถามตอบปัญหาได้รวดเร็ว
  4. ฟีเจอร์ที่รองรับ: เลือก API ที่สามารถจัดการฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การติดตามหลายพัสดุพร้อมกัน, การสร้างรายงานการจัดส่ง

 กล่าวโดยสรุป Shipping API เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างระบบร้านค้าออนไลน์กับผู้ให้บริการขนส่ง ทำให้สามารถ ดึงข้อมูลการจัดส่งคำนวณค่าส่ง สร้างใบจ่าหน้า และติดตามสถานะพัสดุได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำหลายรอบหรือสลับหน้าจอไปมาหลายระบบ ไม่ว่าคุณจะขายสินค้าบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ, Marketplace หรือโซเชียลมีเดีย การเชื่อมต่อกับ Shipping API จะช่วยให้คุณบริหารจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างมืออาชีพ ประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอนการจัดส่งนั่นเอง

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษีและค่าธรรมเนียมภาษีนำเข้าปลายทาง | SME Shipping

ข้อควรระวังเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและภาษีนำเข้าสินค้าปลายทาง

แม้ว่าการส่งออกสินค้าในประเทศไทยจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 0%) แต่ผู้ประกอบการ ไม่ควรมองข้ามภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่ผู้รับปลายทางในต่างประเทศอาจต้องชำระ ซึ่งอาจมีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า และต้นทุนรวมของธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ และในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณศึกษาข้อควรระวังเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและภาษีนำเข้าสินค้าปลายทาง เพื่อให้ธุรกิจของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น

ภาษีนำเข้าคืออะไร?

ภาษีนำเข้า (Import Duty) คือภาษีที่รัฐบาลของประเทศปลายทางเรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ เพิ่มรายได้ของรัฐ และควบคุมประเภทของสินค้าที่เข้าประเทศ

อัตราภาษีนำเข้าจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้าและประเทศปลายทาง เช่น:

  • เสื้อผ้าแฟชั่น: 10–30%
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์: 0–15%
  • อาหารและเครื่องดื่ม: อาจมีภาษีและข้อกำหนดด้านสุขอนามัยเพิ่ม

การคำนวณภาษีนำเข้า มักพิจารณาจาก:

  • มูลค่าของสินค้า (รวมค่าส่งและค่าประกัน)
  • รหัสพิกัดศุลกากร (HS Code)
  • กฎระเบียบของประเทศปลายทาง

ภาษีและอากรมีผลกระทบต่อการจัดส่งของคุณอย่างไร?

ภาษีและอากรนำเข้าอาจส่งผลโดยตรงต่อต่อการทำธุรกิจส่งออกทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น

  1. ต้นทุนรวมปลายทางของลูกค้าที่ลูกค้าอาจต้องชำระภาษีเพิ่มเติมเมื่อรับสินค้า ทำให้ราคาสูงกว่าที่คาดไว้
  2. ความล่าช้าในการจัดส่ง ซึ่งหากเอกสารศุลกากรไม่ครบถ้วน หรือสินค้าต้องผ่านการตรวจสอบพิเศษ อาจทำให้จัดส่งล่าช้า
  3. ลูกค้าอาจไม่พอใจหากต้องจ่ายค่าภาษีโดยไม่รู้ล่วงหน้า หรือเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย
  4. ความเสี่ยงในการปฏิเสธรับสินค้าหากค่าภาษีนำเข้าสูงเกินไป ลูกค้าอาจปฏิเสธการรับสินค้า ทำให้ผู้ขายต้องรับภาระคืนสินค้า

ภาษีและค่าธรรมเนียมที่ควรระวัง

1. ภาษีนำเข้า (Import Duties)

  • แต่ละประเทศมีอัตราภาษีนำเข้าแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและมูลค่า
  • สินค้าบางประเภทอาจได้รับยกเว้นภาษี หากอยู่ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)

2.ภาษีมูลค่าเพิ่มปลายทาง (VAT / GST)

  • หลายประเทศมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีบริการ (เช่น GST ในออสเตรเลีย, VAT ในสหภาพยุโรป)
  • แม้สินค้าจะได้รับยกเว้นภาษีจากฝั่งผู้ส่งออก แต่ผู้รับปลายทางอาจต้องชำระ VAT เมื่อของถึง

3. ค่าธรรมเนียมศุลกากร / ค่าดำเนินพิธีการ (Customs Clearance Fees)

  • บางประเทศมีการเรียกเก็บค่าดำเนินการนำเข้าสินค้าหรือค่าตรวจสอบพิเศษ
  • ควรสอบถามล่วงหน้ากับผู้ให้บริการโลจิสติกส์

 4. ค่าธรรมเนียมบริษัทขนส่ง (Handling Fee / Brokerage Fee)

  • บริษัทจัดส่ง เช่น DHL, FedEx หรือ UPS อาจมีค่าธรรมเนียมในการดำเนินเอกสารศุลกากรเพิ่มเติม

 ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ

  • แจ้งลูกค้าอย่างชัดเจน ว่าอาจมีค่าใช้จ่ายปลายทางเพิ่มเติม
  • ศึกษาอัตราภาษีปลายทางล่วงหน้า หรือใช้บริการที่ปรึกษาด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ
  • ใช้ Incoterms ให้เหมาะสม เช่น:
  • DAP (Delivered At Place): ผู้ขายรับผิดชอบจนถึงปลายทาง แต่ลูกค้ารับผิดชอบภาษีนำเข้า
  • DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบทั้งค่าขนส่งและภาษีนำเข้าทั้งหมด

แม้ว่าจะสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในฝั่งประเทศไทยได้ แต่ควรพิจารณา “ต้นทุนรวมถึงปลายทาง” เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่เกิดความเข้าใจผิด และสามารถวางแผนราคาขายระหว่างประเทศได้อย่างมืออาชีพตลอดจนดำเนินธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจได้แบบไม่มีสะดุด

เงื่อนไขการขอ VAT Refund สำหรับสินค้าส่งออก | SME Shipping

เงื่อนไขการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) สำหรับสินค้าส่งออก

การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ ถือเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ และยังสามารถสร้างมูลค่าการนำเข้าส่งออกได้ทุกปี และตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยนั้นได้กำหนดให้การส่งออกสินค้า เป็นรายการที่ได้รับยกเว้นภาษีในอัตรา 0% (Zero-rated VAT) เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ส่งออกจะไม่ต้องเสีย VAT สำหรับสินค้าที่ส่งออก แต่สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระไว้กับผู้ขายวัตถุดิบ บริการ หรือสินค้าภายในประเทศได้ และบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูการขอคืนภาษี VAT ที่ได้ชำระไว้กับคู่ค้าในประเทศสำหรับสินค้า วัตถุดิบ หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกได้ตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด

1.ผู้มีสิทธิ์ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • เป็นผู้ประกอบการที่ จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registered)
  • มีการ ส่งออกสินค้าจริงตามขั้นตอนทางกฎหมาย
  • มีหลักฐานและเอกสารประกอบที่ครบถ้วนและถูกต้อง 

2. เงื่อนไขสำคัญในการขอคืน VAT

2.1 เป็นรายการสินค้าส่งออกที่ได้รับสิทธิ์ VAT 0%

  • การส่งออกสินค้าจากไทยไปต่างประเทศโดยตรง
  • ต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าสินค้าออกจากราชอาณาจักรแล้วจริง

2.2มีเอกสารพิสูจน์การส่งออกครบถ้วน

  • ใบขนสินค้าขาออก (Export Declaration)
  • ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ
  • หลักฐานการขนส่ง เช่น ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading / Air Waybill)

2.3ยื่นคำขอคืนภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนด

  • ภายใน 3 ปี นับจากวันที่ครบกำหนดการยื่นแบบ ภ.พ.30 ของเดือนที่เกี่ยวข้อง

3. เอกสารที่ต้องใช้ในการขอคืน VAT

  • แบบฟอร์ม ก.พ.10 (แบบคำขอคืนภาษี)
  • รายการภาษีซื้อ
  • ใบกำกับภาษี
  • สำเนาใบขนสินค้า / เอกสารการขนส่ง
  • เอกสารประกอบอื่น ๆ ที่กรมสรรพากรกำหนด 

4. วิธีการยื่นคำขอคืน VAT

  • ยื่นผ่าน สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนอยู่
  • หรือเลือก ยื่นแบบออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing ของกรมสรรพากร

สินค้าที่เข้าเกณฑ์ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund)

ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าที่นำไปส่งออกได้ เฉพาะกรณีที่สินค้าเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งโดยทั่วไปต้องเป็น สินค้าที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรอย่างแท้จริง พร้อมมีหลักฐานการส่งออกครบถ้วน

✅ ประเภทของสินค้าที่เข้าเกณฑ์

  • สินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยไปต่างประเทศ
  • ส่งทางเรือ, เครื่องบิน หรือพัสดุไปรษณีย์ระหว่างประเทศ
  • ต้องมีใบขนสินค้าขาออกที่ผ่านการตรวจปล่อยจากกรมศุลกากร
  • สินค้าที่อยู่ในรูปของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตและส่งออก
  • เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัตถุดิบอาหาร บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ
  • ต้องแสดงความเกี่ยวข้องกับสินค้าส่งออกจริง
  • สินค้าที่ขายให้ลูกค้าต่างประเทศและจัดส่งไปต่างประเทศโดยตรง
  • ไม่ใช่การขายให้บุคคลในประเทศแม้ลูกค้าจะอยู่ต่างประเทศ 

❌ สินค้าที่ไม่เข้าเกณฑ์

  • สินค้าที่มีการขายและบริโภคภายในประเทศ
  • สินค้าที่ส่งออกแบบ “ไม่มีใบขนสินค้า” หรือไม่มีหลักฐานการเคลื่อนย้ายออกจากประเทศ
  • สินค้าที่นำออกไปแต่ไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง

การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าส่งออกเป็นสิทธิ์ทางภาษีที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกรมสรรพากรอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธคำขอหรือเกิดปัญหาในภายหลัง โดยการขอคืนภาษีดังกล่าวมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของเอกสารประกอบการส่งออก การยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด รวมถึงลักษณะของสินค้าและบริการที่เข้าเกณฑ์ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อไม่ให้พลาดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่พึงได้รับนั่นเอง

วิธีการตรวจสอบสถานะการส่งพัสดุระหว่างประเทศ | SME Shipping

วิธีตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ ให้ลูกค้าอุ่นใจ

การส่งพัสดุระหว่างประเทศอาจทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกกังวล โดยเฉพาะเมื่อใช้เวลาจัดส่งนานกว่าการส่งภายในประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ร้านค้าควรให้ข้อมูลและช่องทางการติดตามพัสดุอย่างชัดเจน ซึ่งบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูวิธีตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. แจ้งเลขพัสดุ (Tracking Number) หลังจากจัดส่งสินค้าแล้ว ควรแจ้งเลขพัสดุให้ลูกค้าทันที เพื่อให้สามารถติดตามสถานะได้ตลอดเวลา

2. แนะนำเว็บไซต์ตรวจสอบสถานะพัสดุ ระบุเว็บไซต์หรือลิงก์สำหรับตรวจสอบสถานะพัสดุของแต่ละบริษัท เช่น:

  • DHL: https://www.dhl.com
  • FedEx: https://www.fedex.com
  • UPS: https://www.ups.com
  • ไปรษณีย์ไทย (EMS World): https://track.thailandpost.co.th

3. ติดตามผ่านแอปพลิเคชัน แนะนำให้ลูกค้าดาวน์โหลดแอปของบริษัทขนส่ง หรือแอปติดตามพัสดุรวม เช่น ParcelTrack, 17TRACK, AfterShip ที่สามารถเช็กสถานะได้หลายเจ้าในที่เดียว

4. อัปเดตสถานะเป็นระยะ หากระบบขนส่งไม่อัปเดตแบบเรียลไทม์ ร้านค้าควรแจ้งสถานะให้ลูกค้าเป็นระยะ เช่น สินค้าออกจากคลัง / ถึงศูนย์กระจายสินค้า / อยู่ระหว่างดำเนินการศุลกากร เป็นต้น

ข้อดีของบริการตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ

การตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าสามารถติดตามความคืบหน้าของการจัดส่งสินค้าได้อย่างสะดวกและมั่นใจ ต่อไปนี้คือข้อดีของการตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศ

1. เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า

การสามารถติดตามสถานะพัสดุทำให้ลูกค้ารู้ว่าพัสดุของพวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการจัดส่ง และสามารถคาดการณ์วันที่จะได้รับสินค้าตามเวลาที่คาดไว้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการจัดส่งที่ล่าช้าหรือสูญหาย

2. ช่วยให้ร้านค้าบริหารจัดการการจัดส่งได้ดีขึ้น

ร้านค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุระหว่างการขนส่งได้โดยตรง ซึ่งทำให้สามารถประสานงานกับบริษัทขนส่งได้ทันทีหากเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดใดๆ การติดตามสถานะยังช่วยร้านค้าในการปรับปรุงการบริการและระยะเวลาจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น

3. ลดปัญหาการสูญหายหรือความล่าช้า

การตรวจสอบสถานะพัสดุช่วยให้สามารถรับทราบความคืบหน้าในแต่ละขั้นตอนของการขนส่งได้ด้วยตนเอง ซึ่งหากในขั้นตอนการขนส่งเกิดความล่าช้าหรือปัญหาที่อาจทำให้พัสดุสูญหาย ก็จะสามารถแจ้งให้บริษัทขนส่งดำเนินการแก้ไขได้ทันที ทำให้ลดความเสี่ยงจากปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งระหว่างประเทศได้

4. ลดข้อร้องเรียนและการติดต่อสอบถาม

เมื่อลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุได้เอง ร้านค้าจะได้รับการร้องเรียนหรือสอบถามเกี่ยวกับสถานะการจัดส่งน้อยลง ซึ่งทำให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าสามารถประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการติดต่อสอบถามในระหว่างการจัดส่ง

การที่บรีษัทจนส่งเจ้าต่างๆ มีวิธีให้ลูกค้าได้ตรวจสอบสถานะพัสดุระหว่างประเทศด้วยตนเองได้ นับเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เพิ่มความสะดวกในการติดตามสถานะการจัดส่ง และช่วยลดความกังวลของลูกค้าที่อาจสั่งสินค้ามีราคาสูงแล้วต้องการติดามสถานะอยู่เสมอ อีกทั้งยังทำให้ร้านค้าสามารถจัดการการจัดส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดข้อร้องเรียนจากลูกค้าในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ด้วย ดังนั้น การตรวจสอบสถานะพัสดุจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการช็อปปิ้งของลูกค้า และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับร้านค้าของคุณได้เป็นอย่างดี

COD สามารถทำได้หรือไม่สำหรับการส่งต่างประเทศ | SME Shipping

COD (Cash on Delivery) สำหรับการส่งสินค้าต่างประเทศ ทำได้หรือไม่?

ในทุกวันนี้ที่การขายสินค้าบนโลกออนไลน์ มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ผู้ให้บรการเจ้าต่างๆ ต่างงัดกลยุทธ์มาแข่งขันกันเพื่อดึงดูดลูกค้า เริ่มตั้งแต่การจัดส่ง การบรรจุ และการชำระเงิน ซึ่งหนึ่งในวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมในตลาดภายในประเทศคือ “COD” ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าสินค้าจะมาถึงก่อนจ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการส่งสินค้าระหว่างประเทศ/ต่างประเทศ หลายคนอาจสงสัยว่า COD ยังสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่? แล้วมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอะไรที่ต้องรู้บ้าง? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของ “COD” หรือ “Cash on Delivery” ที่ควรรู้กัน

บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) คืออะไร?

COD (Cash on Delivery) คือบริการชำระเงินเมื่อได้รับสินค้า เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการความมั่นใจก่อนจ่ายเงิน โดยลูกค้าจะชำระค่าสินค้าให้กับพนักงานจัดส่ง ในขณะที่รับพัสดุที่หน้าบ้าน หรือจุดรับสินค้า ซึ่งหลังจากลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทขนส่งจะดำเนินการโอนเงินกลับมายังร้านค้าหรือผู้ขายตามรอบการโอนที่กำหนดในแต่ละบริษัท

  • C = Cash = เงินสด | O = On = เมื่อ | D = Delivery = มีการจัดส่ง
  • COD (Cash on Delivery) เก็บเงินเมื่อส่งสินค้าแล้ว

เหตุผลที่ COD มักไม่ใช้กับการส่งสินค้าต่างประเทศ

แม้ว่าบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) จะได้รับความนิยมอย่างมากในการซื้อขายภายในประเทศ เนื่องจากช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย แต่เมื่อพูดถึงการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ ระบบ COD กลับไม่ค่อยถูกนำมาใช้ หรือมีข้อจำกัดอย่างมาก ทั้งจากมุมมองของความปลอดภัย ความซับซ้อนด้านธุรกรรมระหว่างประเทศ และข้อกำหนดของบริษัทขนส่งระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านภาษี ศุลกากร และขั้นตอนทางการเงินที่ซับซ้อนกว่าการขายภายในประเทศอย่างเห็นได้ชัด เช่น

  1. มีความเสี่ยงด้านการชำระเงินที่ผู้ให้บริการขนส่งไม่สามารถรับประกันได้ว่าผู้รับในต่างประเทศจะจ่ายเงิน
  2. มีความซับซ้อนด้านภาษีและศุลกากร สินค้าที่ส่งข้ามประเทศมักต้องผ่านด่านศุลกากร ซึ่งทำให้การจัดการ COD ยาก
  3. การโอนเงินกลับมายังผู้ขายในประเทศต้นทางอาจใช้เวลานานและมีค่าธรรมเนียมสูง
  4. บริษัทขนส่งข้ามชาติส่วนใหญ่ไม่รองรับ COD เช่น FedEx, DHL, UPS หรือไปรษณีย์ไทย (เมื่อส่งระหว่างประเทศ) มักไม่มีบริการ COD

ทางเลือกที่แนะนำแทน COD สำหรับการขายสินค้าระหว่างประเทศ

  1. ชำระเงินล่วงหน้าผ่านแพลตฟอร์มที่ปลอดภัย: เช่น PayPal, Stripe, Wise, หรือการโอนผ่านธนาคาร
  2. ขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ระดับโลก: เช่น Amazon, eBay, Etsy, Shopee Global ที่มีระบบคุ้มครองทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
  3. ใช้บริการ Payment Gateway ที่รองรับหลายสกุลเงิน: เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าต่างประเทศ

ข้อดีของบริการ COD

  • ลูกค้า มั่นใจ ว่าจะได้รับสินค้าก่อนจ่ายเงิน
  • เหมาะกับลูกค้าที่ ไม่มีบัตรเครดิต/เดบิต หรือไม่สะดวกโอนเงิน

ข้อเสียของบริการ COD

  •  มีความเสี่ยงที่ลูกค้า ปฏิเสธรับของ หรือ ไม่ชำระเงิน
  • ผู้ขายอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น ค่าธรรมเนียม COD
  • เงินเข้าช้า เพราะต้องรอขนส่งโอนกลับ

วิธีส่งออกสินค้า

ก่อนผมมาเริ่มงานที่เอสเอ็มอี ชิปปิ้ง เคยทำงานในตำแหน่งพนักงานฝ่ายโลจิสติกส์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังขยายตลาดใหม่ไปยังต่างประเทศ ทางผู้บริหารจึงมอบหมายงานให้ผมดูแลเรื่อง “วิธีส่งออกสินค้า” ทั้งระบบ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าของเราจะถูกจัดส่งข้ามทะเลได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และทันเวลา

ก่อนหน้านี้ ผมเองเคยดูแลงานขนส่งในประเทศอยู่บ้าง แต่พอต้องขยับมาดู “การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ” จริงจัง ก็พบว่ามีรายละเอียดที่ต้องจัดการมากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็น เอกสารศุลกากร การประสานงานกับ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ พิธีการในประเทศและปลายทาง รวมถึงการคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จึงตั้งใจเขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ค่อย ๆ เรียนรู้และปฏิบัติจริง หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่เพิ่งรับผิดชอบงานด้านการส่งออกเช่นเดียวกันครับ


1. ทำความเข้าใจกับสินค้าและตลาดเป้าหมาย

1.1 วิเคราะห์ตัวสินค้า

สิ่งแรกที่ผมเรียนรู้ คือ เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวสินค้าของเราให้ชัดเจนก่อนว่ามีลักษณะอย่างไร ต้องการการดูแลหรือบรรจุเป็นพิเศษหรือไม่ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าอาหารสด ผลิตภัณฑ์เน่าเสียง่าย หรือสารเคมีบางชนิด อาจต้องใช้ เทคนิคการขนส่งสินค้า เฉพาะทาง รวมถึงเงื่อนไขเรื่องอุณหภูมิ ความชื้น และมาตรฐานการบรรจุที่ปลอดภัย

  • ประเภทสินค้า: อาหารสด เครื่องจักร เครื่องแต่งกาย หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะมีข้อจำกัดและเงื่อนไขในการส่งออกแตกต่างกัน
  • ปริมาณและน้ำหนัก: ถ้าส่งสินค้าในปริมาณมากและหนัก การเลือกตู้คอนเทนเนอร์แบบ FCL (Full Container Load) อาจช่วยประหยัดต้นทุนกว่า แต่ถ้าส่งของจำนวนน้อย LCL (Less than Container Load) ก็ดูเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าได้เช่นกัน
  • มูลค่าของสินค้า: ยิ่งสินค้ามีมูลค่าสูง เราอาจต้องพิจารณาเรื่อง การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance) เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง

1.2 ตลาดปลายทาง

  • กฎระเบียบของประเทศผู้นำเข้า: ต้องตรวจสอบเรื่องภาษี นโยบายศุลกากร หรือมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า ซึ่งอาจมีความแตกต่างจากประเทศไทยอย่างมาก
  • อัตราภาษีนำเข้า: บางประเทศอาจมีภาษีนำเข้าค่อนข้างสูง หากสินค้าเราไม่ได้อยู่ในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อาจทำให้ราคาสุดท้ายที่ผู้บริโภคต้องจ่ายสูงขึ้น จนแข่งขันได้ยาก
  • พฤติกรรมผู้บริโภค: ต้องเข้าใจว่าลูกค้าในประเทศปลายทางต้องการสินค้าแบบไหน เพื่อตั้งราคาและวางกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสม

การทำความเข้าใจสินค้าของเราอย่างละเอียด รวมถึงเงื่อนไขของตลาดปลายทาง จะช่วยให้การวางแผน “วิธีส่งออกสินค้า” เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงในอนาคต


2. เตรียมการภายในบริษัท

2.1 ประสานงานกับฝ่ายผลิตและคลังสินค้า

การส่งออกสินค้าไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายโลจิสติกส์เพียงคนเดียว แต่ว่าต้องอาศัยการทำงานร่วมกับหลายแผนกในบริษัท โดยเฉพาะฝ่ายผลิต และฝ่ายคลังสินค้า

  • ฝ่ายผลิต: ต้องทราบว่าต้องผลิตสินค้าอะไร ปริมาณเท่าใด เพื่อเตรียมวัตถุดิบและควบคุมคุณภาพให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าและมาตรฐานการส่งออก
  • ฝ่ายคลังสินค้า: ต้องจัดเก็บสินค้าให้ดี เลือกใช้ระบบหมุนเวียนสินค้า (เช่น FIFO) อย่างมีประสิทธิภาพ และแจ้งข้อมูลสต็อกให้ฝ่ายโลจิสติกส์ทราบ เพื่อคำนวณเวลาจัดส่งได้ถูกต้อง

การสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างแผนกจะช่วยให้เราทราบว่าควรเริ่มกระบวนการขนส่งเมื่อใด และจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที

2.2 วางแผนตารางส่งออก

เมื่อได้จำนวนและกำหนดพร้อมส่งสินค้าแล้ว ผมจะตรวจสอบ ตารางเรือ (Sailing Schedule) ของ บริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ ต่าง ๆ เพื่อเลือกเที่ยวเรือที่เหมาะสม หากต้องการส่งสินค้าอย่างต่อเนื่องรายเดือน ก็อาจตกลงทำสัญญาระยะยาว เพื่อให้ได้อัตราค่าระวาง (Freight) ที่เหมาะสม


3. ศึกษาเอกสารศุลกากรและพิธีการ

หัวใจสำคัญของ “วิธีส่งออกสินค้า” คือการจัดการด้าน เอกสารศุลกากร อย่างถูกต้อง หากผิดพลาดหรือล่าช้า อาจทำให้สินค้าไปค้างที่ท่าเรือและเสียค่าใช้จ่ายสูงเกินความจำเป็น

  • Commercial Invoice: เอกสารระบุข้อมูลผู้ขาย ผู้ซื้อ รายละเอียดสินค้า ราคา และเงื่อนไขการชำระเงิน
  • Packing List: ระบุข้อมูลการบรรจุ เช่น จำนวนกล่อง น้ำหนัก ขนาดพาเลทหรือคอนเทนเนอร์
  • ใบอนุญาตส่งออก (Export License): หากสินค้าต้องขออนุญาตเป็นพิเศษ เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
  • Certificate of Origin: กรณีที่สินค้าของเราอาจได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในบางประเทศ ถ้ามีข้อตกลง FTA

พิธีการศุลกากร (Customs Clearance)

ในประเทศไทยสามารถยื่นเอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว ซึ่งลดขั้นตอนด้านกระดาษค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องรอบคอบในการกรอกข้อมูล เช่น รหัส HS Code ให้ถูกต้องตรงกับประเภทสินค้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง


4. เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือ

ในการเลือกผู้ให้บริการขนส่ง ผมแนะนำให้พิจารณาหลายด้าน ทั้ง ตารางเรือ (Schedule) ค่าใช้จ่ายบริการ (Freight + ค่าธรรมเนียมท่าเรือ) รวมถึงคุณภาพการบริการ

  • การเปรียบเทียบราคา: ขอใบเสนอราคา (Quotation) จากผู้ให้บริการหลายเจ้า เพื่อดูว่าใครให้ราคาเหมาะสมที่สุดและมีรอบเรือที่ตรงกับความต้องการ
  • ชื่อเสียงและรีวิว: หากมีเพื่อนหรือคนรู้จักในแวดวงนี้ ลองสอบถามประสบการณ์การใช้บริการมาก่อน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
  • Freight Forwarder: อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ตัวแทนจัดการขนส่ง (Forwarder) ที่สามารถช่วยเราวางแผนและดูแลเอกสารได้ครบวงจร แม้อาจเสียค่าบริการเพิ่ม แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาและลดความเสี่ยงได้มาก

5. การบรรจุและการเลือกประเภทตู้คอนเทนเนอร์

5.1 การบรรจุ (Packing)

  • เลือกวัสดุห่อหุ้มและกล่องที่แข็งแรง ป้องกันความชื้นหรือแรงกระแทกระหว่างขนส่ง
  • ติดสัญลักษณ์และฉลากเตือนให้ชัดเจน เช่น สินค้าเปราะบาง (Fragile) หรือสินค้าที่ต้องวางทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
  • หากเป็นสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (เช่น อาหารแช่แข็ง) ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้คอนเทนเนอร์แช่เย็น (Reefer Container) และมีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม

5.2 ประเภทตู้คอนเทนเนอร์

  1. Dry Container: สำหรับสินค้าแห้งทั่วไป
  2. Reefer Container: สำหรับสินค้าเย็น แช่แข็ง หรือต้องควบคุมอุณหภูมิ
  3. Open Top / Flat Rack: สำหรับสินค้าที่มีขนาดเกินกว่าประตูตู้มาตรฐาน
  4. FCL vs. LCL: ถ้าสินค้าเต็มตู้หรือใกล้เต็ม ควรใช้ FCL เพื่อป้องกันการปะปนกับสินค้าอื่น แต่ถ้าปริมาณน้อยอาจเลือก LCL เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

6. ภาษีและค่าธรรมเนียมส่งออก

เมื่อต้องส่งสินค้าออกนอกประเทศ เราควรเข้าใจค่าใช้จ่ายอย่างรอบด้าน ทั้งภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เพื่อวางแผนต้นทุนได้แม่นยำ

  • ค่าระวางเรือ (Freight): คิดเป็นต่อ CBM (cubic meter) หรือน้ำหนัก แล้วแต่ลักษณะสินค้า หรืออาจคิดเป็นต่อตู้ (FCL)
  • THC (Terminal Handling Charge): ค่าบริการท่าเรือ เช่น ค่ายกตู้ ค่าบริหารจัดการในท่าเรือ
  • เอกสารต่าง ๆ: เช่น ค่าทำใบกำกับสินค้า ค่าธรรมเนียมการยื่นใบขนสินค้าขาออก
  • ภาษีขาออก: ไทยอาจมีการเก็บภาษีขาออกบ้างในสินค้าบางประเภท (แต่ไม่แพร่หลายมากนัก)
  • ภาษีนำเข้าปลายทาง: ถ้าเงื่อนไขการขายระบุว่าเราต้องรับผิดชอบภาษีปลายทาง (DDP: Delivered Duty Paid) เราต้องรวมภาษีนี้ในโครงสร้างราคา

7. Incoterms และการประกันภัยสินค้า

7.1 Incoterms

Incoterms คือข้อตกลงสากลที่ระบุว่าผู้ขายและผู้ซื้อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงช่วงไหนบ้าง ตัวอย่างเช่น

  • FOB (Free on Board): ผู้ขายรับผิดชอบจนกระทั่งสินค้าขึ้นเรือที่ท่าเรือต้นทาง หลังจากนั้นผู้ซื้อรับผิดชอบ
  • CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายดูแลค่าขนส่งและประกันภัยจนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงระหว่างทางที่เหลือเป็นของผู้ซื้อ
  • DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบทุกอย่างจนสินค้าถึงหน้าประตูผู้ซื้อ (รวมภาษีนำเข้าปลายทาง)

7.2 การทำประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

ในบางกรณีอาจไม่บังคับให้ทำประกัน แต่ถ้าสินค้ามีมูลค่าสูงหรือมีความเสี่ยง เช่น แตกหักง่าย เป็นของเน่าเสียง่าย ก็ควรทำไว้เพื่อกระจายความเสี่ยง

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายทุกอย่าง ยกเว้นที่ระบุเป็นข้อยกเว้น (เช่น สงคราม หรือการจงใจทำลาย)
  • Institute Cargo Clauses (A, B, C): แต่ละเงื่อนไขมีระดับการคุ้มครองต่างกัน ควรเลือกให้เหมาะสมกับประเภทสินค้าและเส้นทางที่ใช้

8. ขั้นตอนการดำเนินการจริง

8.1 จองตู้และคอนเฟิร์มวันส่ง

เมื่อฝ่ายผลิตและคลังสินค้าพร้อม ผมจะติดต่อผู้ให้บริการขนส่ง (หรือ Freight Forwarder) เพื่อจองตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงระบุวันและเวลาที่ต้องการให้รถขนตู้เข้ามารับสินค้า ถ้าเป็น FCL ผมจะนัดหมายล่วงหน้าเพื่อให้การขนตู้เป็นไปอย่างราบรื่น

8.2 ตรวจสภาพตู้คอนเทนเนอร์

ก่อนบรรจุสินค้า ควรตรวจสภาพภายในตู้ให้เรียบร้อย เช่น มีรูรั่วหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือไม่ ถ้าพบปัญหา ควรแจ้งบริษัทขนส่งให้เปลี่ยนตู้ทันที

8.3 บรรจุสินค้า (Stuffing)

ขั้นตอนนี้ต้องคุมเข้มเรื่องวิธีวางสินค้าในตู้เพื่อป้องกันความเสียหาย ควรกระจายสินค้าน้ำหนักมากให้ทั่วพื้นที่ และป้องกันไม่ให้สินค้าเคลื่อนที่ได้ง่ายระหว่างขนส่ง

8.4 ซีลตู้ (Seal)

หลังการบรรจุเสร็จ จะมีการซีลตู้คอนเทนเนอร์เพื่อความปลอดภัย เมื่อถึงปลายทาง ผู้รับสินค้าจะตรวจสอบซีลอีกครั้งว่าตรงกับเอกสารหรือไม่


9. ติดตามสถานะระหว่างการขนส่ง

เมื่อสินค้าเริ่มเดินทางบนเรือแล้ว ผมจะติดตามสถานะผ่านระบบ Tracking ของสายเรือ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์หรือ API หากมีความล่าช้าเนื่องจากสภาพอากาศหรือท่าเรือแออัด ควรแจ้งให้ผู้ซื้อในต่างประเทศทราบโดยเร็ว เพื่อให้เตรียมการล่วงหน้าได้


10. เคลียร์สินค้าฝั่งปลายทาง

หากเงื่อนไข Incoterms ระบุว่าผู้ซื้อเป็นคนจัดการขั้นตอนศุลกากรปลายทาง (เช่น FOB หรือ CIF) หน้าที่หลักของเราก็จะลดลง แต่ถ้าเป็น DDP เราอาจต้องติดต่อหน่วยงานท้องถิ่นให้ช่วยเคลียร์สินค้า จ่ายภาษีนำเข้า และจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับ ซึ่งควรวางแผนร่วมกับ Freight Forwarder หรือเอเย่นต์ท้องถิ่นที่มีประสบการณ์


11. ประเมินผลและปรับปรุง

หลังจากที่สินค้าถึงมือลูกค้าต่างประเทศ ผมมักทำ “Post-shipment Review” เพื่อสรุปว่า

  1. ค่าใช้จ่ายจริง ที่เกิดขึ้นเทียบกับงบประมาณเป็นอย่างไร
  2. ระยะเวลาขนส่ง ตรงตามกำหนดที่ลูกค้าคาดหวังหรือไม่
  3. ปัญหา ที่พบระหว่างทาง เช่น เอกสารล่าช้า สินค้าเสียหาย ฯลฯ

เมื่อประเมินแล้ว ผมจะหารือกับทีมภายในบริษัท เพื่อวางแนวทางแก้ไขในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสายเรือใหม่ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ หรือการปรับปรุงระบบการทำงาน


12. เคล็ดลับจากประสบการณ์มือใหม่

  1. จัดทำ Checklists: รวบรวมขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่การเตรียมสินค้า เอกสารศุลกากร ไปจนถึงการติดตามเรือ ช่วยป้องกันการลืมงานยิบย่อย
  2. สื่อสารภายในอย่างชัดเจน: ทุกฝ่ายในบริษัทต้องเข้าใจบทบาทของตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดการตกหล่น หรือข้อมูลคลาดเคลื่อน
  3. ศึกษากฎระเบียบอยู่เสมอ: พิธีการศุลกากรและภาษีของแต่ละประเทศอาจเปลี่ยนแปลงบ่อย ควรติดตามข่าวสารในวงการโลจิสติกส์ เช่น เว็บไซต์กรมศุลกากร หรือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  4. ขยายเครือข่าย: รู้จักกับคนในวงการอื่น ๆ หรือผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้เราได้ความรู้หรือคำแนะนำที่มีประโยชน์แบบทันสถานการณ์
  5. เจรจาต่อรอง: หากบริษัทมีปริมาณส่งออกสม่ำเสมอ เราอาจขอส่วนลดค่าขนส่ง หรือได้ข้อเสนอที่ดีกว่าผู้ส่งออกขนาดเล็ก

บทสรุป

การดูแล วิธีส่งออกสินค้า โดยใช้เส้นทางเรืออาจดูยุ่งยากและมีรายละเอียดมากสำหรับพนักงานมือใหม่ แต่เมื่อผมเริ่มลงมือทำจริง ๆ และได้ร่วมงานกับทีมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ก็พบว่ากุญแจสำคัญคือ การวางแผน และ ความรอบคอบ ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การศึกษาเอกสาร พิธีการศุลกากร เลือกบริษัทขนส่งสินค้าทางเรือที่เหมาะสม จนกระทั่งสินค้าถึงมือผู้ซื้อได้อย่างปลอดภัย

หากเราทำได้ดี ไม่เพียงแต่จะช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุน และส่งเสริมภาพลักษณ์ในตลาดต่างประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้เห็นว่าเรา “พร้อม” และ “มืออาชีพ” ในการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่เพิ่งเริ่มต้นในเส้นทางนี้ ขอให้ลองนำแนวทางและเคล็ดลับที่ผมได้แชร์มาปรับใช้ รับรองว่าการส่งออกสินค้าทางเรือจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป และยังเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในเวทีการค้าระดับโลกอีกด้วยครับ!

ปรึกษาการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ติดต่อ SME Shipping โทร 02 105 7777 หรือ Line: @Shipping

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า

ในยุคที่การค้าระหว่างประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง “การส่งออกสินค้า” กลายเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยในการขยายตลาดและสร้างยอดขายที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การส่งออกระหว่างประเทศไม่ได้มีแค่การบรรจุสินค้าแล้วส่งผ่านขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยกระบวนการและกฎระเบียบมากมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื้อหาต่อไปนี้จะอธิบาย ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ตั้งแต่การวางแผนเบื้องต้น จนถึงการประเมินผลหลังสินค้าเดินทางถึงมือลูกค้า พร้อมทั้งสอดแทรกข้อควรระวังและเคล็ดลับในการเพิ่มโอกาสเติบโตในตลาดต่างประเทศ

1. การวิเคราะห์ตลาดและสินค้าที่จะส่งออก

ก้าวแรก ของผู้ประกอบการที่ต้องการก้าวเข้าสู่ธุรกิจส่งออก คือ การวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหรือประเทศฝั่งยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง หรืออื่น ๆ โดยต้องคำนึงถึง:

  1. ความต้องการของตลาด: สินค้าประเภทใดที่กำลังเป็นที่ต้องการ มีเทรนด์หรือกระแสอะไรที่กำลังมาแรงในพื้นที่เป้าหมาย
  2. มาตรฐานและกฎระเบียบ: สินค้าอุปโภคบริโภคบางประเภทต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพหรือได้รับใบรับรอง (Certificate) ตามมาตรฐานของประเทศผู้นำเข้า เช่น สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป หรือสินค้าอุตสาหกรรมบางชนิด
  3. การแข่งขันในตลาด: ควรศึกษาว่าในตลาดนั้นมีสินค้าที่คล้ายคลึงกันมากน้อยแค่ไหน ใครคือผู้เล่นหลัก และคู่แข่งของคุณคือใคร

เมื่อเข้าใจทั้งสามประเด็นนี้ ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการผลิต ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) ได้อย่างตรงจุด


2. การเตรียมเอกสารและพิธีการศุลกากร

พิธีการศุลกากร เป็นส่วนสำคัญของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ซึ่งผู้ส่งออกต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากผิดพลาดเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดต้นทุนและค่าปรับมหาศาล เอกสารที่จำเป็น มีดังนี้:

  1. ใบอนุญาตส่งออก (Export License): สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าเกษตร วัตถุอันตราย หรือสินค้าที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  2. ใบกำกับสินค้า (Commercial Invoice): ระบุข้อมูลของสินค้า ราคาต่อหน่วย จำนวน และเงื่อนไขการชำระเงิน
  3. บัญชีราคาสินค้า (Packing List): แสดงรายละเอียดของสินค้าที่บรรจุในแต่ละกล่อง/บรรจุภัณฑ์ โดยระบุขนาด น้ำหนัก และจำนวน
  4. ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin): ยืนยันว่าสินค้าได้รับการผลิตหรือผ่านกระบวนการเพียงพอในประเทศต้นทาง (Thailand)
  5. เอกสารประกันภัยสินค้า (ถ้ามี): บางครั้งผู้นำเข้าอาจต้องการหลักฐานว่ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายหรือสูญหาย

เมื่อเตรียมเอกสารพร้อมแล้ว ต้องทำการยื่นเอกสารผ่านระบบศุลกากร (ปัจจุบันมีการให้บริการยื่นผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) และชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง การตรวจสอบข้อมูลในเอกสารจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างรอบคอบ


3. การเลือกวิธีขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ใน ขั้นตอนการส่งออกสินค้า การเลือกระบบขนส่งมีบทบาทสำคัญต่อเวลาจัดส่งและต้นทุน โดยหลัก ๆ มี 3 วิธี ดังนี้:

  1. ขนส่งทางเรือ (Sea Freight)
    • ข้อดี: ต้นทุนถูก เหมาะกับสินค้าจำนวนมาก น้ำหนักมาก หรือต้องการขนส่งระยะไกลที่สามารถใช้เวลาพอสมควร
    • ข้อจำกัด: ใช้เวลานาน อาจมีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศ
  2. ขนส่งทางอากาศ (Air Freight)
    • ข้อดี: รวดเร็ว เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความสดใหม่หรือมีมูลค่าสูง
    • ข้อจำกัด: ค่าขนส่งแพงกว่า จึงเหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักเบา
  3. ขนส่งทางบก (Land Transport)
    • ข้อดี: เหมาะกับการขนส่งในภูมิภาคใกล้เคียง เช่น อาเซียน หรือประเทศเพื่อนบ้าน
    • ข้อจำกัด: มักขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ด่านชายแดน และกฎระเบียบทางภาครัฐ

นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบอัตราค่าขนส่งเงื่อนไขของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในเรื่องความน่าเชื่อถือ ช่วงระยะเวลาในการจัดส่ง และบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การติดตามสินค้าผ่านระบบออนไลน์


4. การประกันภัยสินค้า (Cargo Insurance)

เมื่อสินค้าเดินทางไปยังตลาดต่างประเทศ ความเสี่ยงด้านความเสียหายหรือสูญหายจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศ ทะเล หรือแม้แต่กระบวนการขนถ่ายสินค้าในท่าเรือและสนามบิน ดังนั้น การทำประกันภัยสินค้า ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญในการส่งออก โดยมีระดับความคุ้มครองหลายแบบ เช่น

  • All Risks: คุ้มครองความเสียหายแทบทุกกรณี ยกเว้นที่ระบุไว้ในเงื่อนไข
  • Free From Particular Average (FPA): คุ้มครองความเสียหายครั้งใหญ่ เช่น เรือล่ม แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายเล็กน้อย
  • Institute Cargo Clauses: เงื่อนไขประกันภัยสากลที่เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ

ผู้ส่งออกควรเลือกประกันภัยตามลักษณะของสินค้าและระดับความเสี่ยง หากสินค้ามีมูลค่าสูง เช่น เครื่องจักร อัญมณี หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ก็อาจคุ้มค่าที่จะทำประกันในระดับ All Risks


5. การกำหนดเงื่อนไขการขายและการชำระเงิน (Incoterms)

เงื่อนไขการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า Incoterms (International Commercial Terms) เป็นข้อตกลงที่ใช้กันทั่วโลก กำหนดความรับผิดชอบระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อว่าฝ่ายใดเป็นผู้จัดการขนส่ง จ่ายค่าภาษี หรือรับความเสี่ยงหากสินค้าเสียหาย ยกตัวอย่าง Incoterms ที่พบบ่อย:

  1. EXW (Ex Works): ผู้ขายมีหน้าที่แค่เตรียมสินค้าให้พร้อมในสถานที่กำหนด ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบขนส่งและค่าใช้จ่ายทั้งหมด
  2. FOB (Free on Board): ผู้ขายมีหน้าที่ส่งมอบสินค้าขึ้นเรือหรือยานพาหนะที่ท่าเรือ/ท่าอากาศยานที่กำหนด ผู้ซื้อรับผิดชอบความเสี่ยงหลังจากนั้น
  3. CIF (Cost, Insurance and Freight): ผู้ขายรับผิดชอบค่าสินค้า ค่าขนส่ง และค่าประกันภัย จนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงเรื่องความเสียหายของสินค้าหลังขึ้นเรือเป็นของผู้ซื้อ
  4. DDP (Delivered Duty Paid): ผู้ขายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงภาษีนำเข้า จนถึงปลายทางตามตกลง

การเลือกใช้ Incoterms ที่ถูกต้องจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกันและลดการขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง


6. การจัดการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

กฎหมายและระเบียบการส่งออก ของแต่ละประเทศแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบ ต้นทุนและภาษีในการส่งออก อย่างรอบคอบ เช่น

  • ภาษีส่งออก (Export Tax): แม้จะไม่พบบ่อยนัก แต่บางประเทศอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าบางประเภทรวมถึงประเทศไทยในบางกรณี
  • ภาษีนำเข้า (Import Duty): ผู้ซื้อหรือผู้นำเข้าอาจต้องชำระตามกฎหมายของประเทศปลายทาง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST): ขึ้นอยู่กับเขตอำนาจของประเทศปลายทาง
  • ค่าใช้จ่ายท่าเรือ/สนามบิน: ค่าธรรมเนียมท่าเรือ ท่าบรรทุกสินค้า ค่าจัดการเอกสารต่าง ๆ

การประสานงานกับบริษัทชิปปิ้ง (Shipping) หรือบริษัทโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศเป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสผิดพลาดและทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน


7. การตลาดและการสร้างเครือข่ายในตลาดต่างประเทศ

เมื่อสินค้าเดินทางไปถึงต่างแดน สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำต่อไปคือ การตลาดในตลาดต่างประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ สินค้าคุณภาพดีแค่ไหน หากไม่มีการโปรโมต ก็ยากที่จะสร้างยอดขายอย่างที่คาดหวัง วิธีการหลัก ๆ ได้แก่:

  1. การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า (Trade Fair): โอกาสในการสร้างเครือข่าย พบปะผู้ซื้อ ปิดดีลธุรกิจ และสำรวจแนวโน้มตลาด
  2. การตลาดออนไลน์: ใช้โซเชียลมีเดีย เครือข่าย E-commerce เพื่อเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้รวดเร็ว
  3. ตัวแทนจำหน่ายหรือพาร์ทเนอร์ในท้องถิ่น: การมีตัวแทนท้องถิ่นช่วยเจาะตลาดและวางกลยุทธ์การขายได้ตรงใจผู้บริโภค

8. การติดตามและประเมินผลหลังการส่งออก

เมื่อสินค้าถึงมือลูกค้าแล้ว อย่าลืม ติดตามผล ว่าสินค้าถึงเวลาและอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ หากเกิดความเสียหาย ควรติดต่อบริษัทขนส่งหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเรียกค่าสินไหมชดเชยตามประกันที่ทำไว้

นอกจากนี้ การประเมินผล การส่งออกยังครอบคลุมถึง

  • ต้นทุนที่เกิดขึ้นเทียบกับรายได้: วิเคราะห์ว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงและเวลาในการจัดการหรือไม่
  • ความพึงพอใจของลูกค้า: การขอ Feedback หรือรีวิวช่วยให้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไรในการส่งออกครั้งถัดไป
  • โอกาสขยายตลาดในอนาคต: หากตลาดนี้มีศักยภาพสูงและการแข่งขันไม่รุนแรงจนเกินไป การวางแผนขยายกำลังการผลิตหรือการส่งออกก็เป็นก้าวถัดไปที่น่าสนใจ

9. การบริหารความเสี่ยงในธุรกิจส่งออก

ธุรกิจส่งออกมีความเสี่ยงหลายด้าน ตั้งแต่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในตลาดเป้าหมาย เคล็ดลับในการบริหารความเสี่ยง ได้แก่:

  1. ประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ทำสัญญาซื้อ-ขายเงินตราล่วงหน้า (Forward Contract) หรือใช้เครื่องมือการเงินอื่น ๆ เพื่อป้องกันความผันผวน
  2. กระจายตลาด: อย่าพึ่งพาตลาดเดียว ควรขยายไปยังหลาย ๆ ประเทศ เพื่อไม่ให้ยอดขายตกลงอย่างหนักในกรณีตลาดหลักชะลอตัว
  3. อัปเดตกฎหมายและแนวโน้มโลก: กฎหมายระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงสภาพการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ จึงควรติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ

10. เคล็ดลับเพื่อความสำเร็จระยะยาว

  1. ลงทุนด้านคุณภาพ: สินค้าที่มีคุณภาพสูงและได้มาตรฐานระดับสากลย่อมได้เปรียบในการส่งออก
  2. สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง: ลูกค้าต่างประเทศมักให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ การสร้างแบรนด์ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า
  3. หาโอกาสในโลกดิจิทัล: E-commerce แพลตฟอร์มระหว่างประเทศ หรือ Marketplaces อย่าง Alibaba, Amazon Global สามารถลดต้นทุนการตลาดและเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก
  4. ฝึกอบรมทีมงาน: ทีมงานที่เข้าใจกระบวนการส่งออกและมีทักษะเจรจาต่อรอง รวมถึงภาษาอังกฤษ (หรือภาษาท้องถิ่นของตลาดเป้าหมาย) จะช่วยลดความผิดพลาดและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้บริษัท

สรุป

ขั้นตอนการส่งออกสินค้า นั้นมีรายละเอียดหลากหลาย ทั้งด้านกฎหมาย การจัดการเอกสาร พิธีการศุลกากร การขนส่งระหว่างประเทศ การประกันภัยสินค้า และการบริหารความเสี่ยง ผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศจำเป็นต้องศึกษาและวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบ รวมถึงปรับปรุงกระบวนการให้ทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

อย่างไรก็ดี การส่งออกยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ การต่อยอดธุรกิจและสร้างเครือข่ายกับคู่ค้าที่หลากหลายในระดับสากลเป็นสิ่งที่อาจทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ หากผู้ประกอบการมีการเตรียมความพร้อมตั้งแต่เริ่มต้น พัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ก็สามารถดำเนินธุรกิจ ส่งออกระหว่างประเทศ ได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

สุดท้ายนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการที่กำลังสนใจการค้าระหว่างประเทศได้เข้าใจภาพรวมของ ขั้นตอนการส่งออกสินค้า ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์แล้วก็ตาม หากมีการติดตามเทรนด์ตลาด และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ ปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการอย่างไม่หยุดนิ่ง ความสำเร็จในตลาดโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • การหาข้อมูลเพิ่มจากหน่วยงานสนับสนุนการส่งออก เช่น กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
  • หากยังไม่มั่นใจในกระบวนการ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือใช้บริการบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการส่งออกโดยเฉพาะ
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) และนโยบายภาษีต่าง ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ หรือสร้างเงื่อนไขใหม่ ๆ ในการส่งออก

การส่งออกเป็นเสมือนประตูเปิดสู่โลกกว้างที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย แต่หากผู้ประกอบการพร้อมเต็มที่ทุกขั้นตอน ย่อมมีแนวโน้มประสบความสำเร็จและเติบโตได้ไกลในตลาดสากล

การส่งอาหารไปอเมริกา: ทำไมพัสดุบางชิ้นผ่านได้ บางชิ้นไม่ได้  

เหตุผลที่พัสดุขนาดเล็กบางครั้งส่งอาหารเข้าอเมริกา ได้ และบางครั้งไม่ได้ 

อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อนและไม่ได้มีเพียงเหตุเดียว เช่น: 

ความแตกต่างในกฎระเบียบของผู้ให้บริการ (Carrier Policy) และเส้นทางการขนส่ง 

  • ผู้ให้บริการ (DHL, FedEx, UPS หรือไปรษณีย์) อาจใช้เส้นทางหรือจุดตรวจศุลกากรที่แตกต่างกัน ทำให้การตีความกฎระเบียบและการตรวจสอบไม่เหมือนกัน 
  • บริษัทขนส่งบางแห่งมี “รายชื่อสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาตเป็นพิเศษ” ไม่เหมือนกัน จึงเกิดกรณีที่ผู้ให้บริการรายหนึ่งส่งได้ แต่อีกรายส่งไม่ได้ 

ความเข้มงวดของศุลกากรและหน่วยงานกำกับดูแลในอเมริกา (เช่น FDA) 

  • อเมริกา มีกฎหมายควบคุมการนำเข้าอาหารค่อนข้างเข้มงวด โดยเฉพาะหากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือความปลอดภัยอาหาร 
  • พัสดุขนาดเล็กอาจได้รับการตรวจคัดกรองแบบสุ่ม (Random Check) บางชิ้น “อาจหลุด” ผ่านไปได้ ในขณะที่บางชิ้นถูกสุ่มตรวจพบและถูกระงับหรือตีกลับ 

การสำแดงสินค้า (Declaration) และเอกสารประกอบ 

  • หากในการกรอกเอกสารส่งออก/นำเข้า (Customs Declaration) หรือเอกสารด้านอาหาร (เช่น Certificate of Origin, ใบอนุญาตนำเข้าอาหาร) ไม่ครบถ้วนหรือไม่ตรงตามเงื่อนไข อาจทำให้สินค้าถูกปฏิเสธ 
  • การระบุรายการสินค้าอย่างชัดเจนและถูกต้อง (เช่น “Dried Fruit” หรือ “Instant Snack”) อาจช่วยให้การผ่านศุลกากรง่ายขึ้น เมื่อเทียบกับการเขียนไม่ชัดเจน (เช่น “Food” เฉย ๆ) 

กฎหมายนำเข้าสินค้าสำหรับบุคคลทั่วไป vs. เชิงพาณิชย์ 

  • ถ้าเป็นการส่งแบบ “ของขวัญ” หรือ “สั่งซื้อส่วนตัว” (Personal Use) ในปริมาณน้อย บางทีเจ้าหน้าที่จะผ่อนปรนมากกว่าการนำเข้าเชิงพาณิชย์ที่ต้องขออนุญาตเฉพาะ 
  • แต่ก็ขึ้นอยู่กับประเภทอาหารที่ส่งและด่านตรวจที่รับผิดชอบด้วย 

ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ (Officer Discretion) 

  • แม้จะใช้เอกสารเดียวกัน ส่งสินค้าประเภทเดียวกัน แต่ด่านศุลกากรหรือเจ้าหน้าที่คนละคนอาจให้คำวินิจฉัยที่ต่างกันได้ 

ปรึกษาเรื่องการส่งสินค้าไปที่อเมริกา อย่าลืมติดต่อมาที่ SME Shipping โทร 021057777 หรือ ไลน์ @shipping

6 ปัจจัยเรื่องค่าขนส่งที่ผู้ประกอบการควรทราบ | SME Shipping

6 ปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ผู้ประกอบการควรรู้

ค่าขนส่งระหว่างประเทศถือเป็นต้นทุนสำคัญที่ผู้ประกอบการ หรือคนที่ทำธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการขนส่งมีผลต่อราคาสินค้าและการแข่งขันในตลาดโลก เพราะปัจจุบันไม่ได้มีเพียงขนส่งเจ้าเดียวที่ให้บริการ แต่มีหลากหลายเจ้าที่พร้อมทำการตลาดและบริการที่ดีเพื่อตอบสนองต่อผู้ประกอบการอยู่เสมอ ซึ่งค่าขนส่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทของสินค้า วิธีการขนส่ง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ และเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่งและสามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ โดยบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปดูรายละเอียดของปัจจัยทั้ง 6 ข้อที่มีบทบาทสำคัญต่อค่าขนส่งระหว่างประเทศที่ควรรู้กัน

1. ระยะทางและเส้นทางขนส่ง

ระยะทางเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง ยิ่งปลายทางอยู่ไกล ค่าขนส่งก็จะสูงขึ้น และหากเส้นทางขนส่งที่ต้องผ่านหลายประเทศอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าผ่านทางหรือค่าประกันสินค้า เส้นทางที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เส้นทางที่ต้องผ่านพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือเส้นทางที่ถนนไม่เอื้ออำนวยต่อการขนส่งอาจทำให้ต้องเสียค่าประกันภัยเพิ่มขึ้น

2. ประเภทของสินค้า

ลักษณะของสินค้ามีผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เพราะสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร หรือสินค้าก่อสร้าง ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง มีการห่อหุ้มที่แน่นหนามากขึ้นตามน้ำหนักจะมีค่าขนส่งสูงกว่าสินค้าที่มีขนาดเล็กและเบา นอกจากนี้ สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (สินค้าแช่แข็ง) สินค้าอันตราย (เช่น สารเคมี) หรือสินค้ามีมูลค่าสูง (เช่น เครื่องเพชร) มักมีค่าขนส่งแพงขึ้นเนื่องจากต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ

3. วิธีการขนส่ง (Shipping Mode)

วิธีการขนส่งมีผลต่อระยะเวลาการจัดส่งและต้นทุนโดยรวม แม้ว่าการขนส่งทางอากาศแม้จะรวดเร็ว แต่ก็มีค่าขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือ ขณะที่การขนส่งทางเรือมีต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่าแต่ใช้เวลานานกว่า ส่วนการขนส่งทางรถไฟหรือทางถนนเหมาะกับการขนส่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การขนส่งจากไทยไปลาว มาเลเซีย หรือจีน

4. ภาษีและค่าธรรมเนียมศุลกากร

ภาษีนำเข้าสินค้า ภาษาษีขนส่ง และค่าธรรมเนียมศุลกากรของแต่ละประเทศจะมีกฎระเบียบและอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อค่าขนส่ง เช่น ภาษีนำเข้า ค่าธรรมเนียมศุลกากร ค่าบริการตรวจสอบสินค้า และค่าเอกสารต่างๆ หากผู้ประกอบการไม่ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทางให้ดี อาจต้องเสียค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งออกต่างประเทศ ผู้ประกอบการต้องศึกษาเรื่องภาษีนำเข้าให้ละเอียกและรอบคอบทุกครั้ง

5. อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนน้ำมัน

ค่าขนส่งระหว่างประเทศมักกำหนดเป็นสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น หากค่าเงินผันผวนอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดคิดได้ รวมทั้งราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อค่าขนส่งโดยตรง เนื่องจากเป็นต้นทุนหลักของสายการบิน สายเรือ และรถบรรทุก เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น สายการขนส่งมักปรับค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิงขึ้นตามไปด้วย

6. ฤดูกาลและสภาวะตลาด

ฤดูกาลและสภาวะตลาดก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง เพราะช่วงเวลาที่มีความต้องการขนส่งสูง เช่น ช่วงเทศกาล ช่วงปลายปี หรือช่วงก่อนเปิดเทอม มักทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีความต้องการใช้บริการสูง นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่ง เช่น ภัยธรรมชาติ การประท้วง หรือความขัดแย้งทางการเมือง อาจทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การทำธุรกิจระหว่างประเทศจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อค่าขนส่ง ไม่เพียงแต่เรื่องระยะทางและวิธีการขนส่งเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาต้นทุนแฝงอื่นๆ เช่น ภาษี อัตราแลกเปลี่ยน และสภาวะตลาด การวางแผนและบริหารต้นทุนค่าขนส่งอย่างรอบคอบ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงทางธุรกิจได้

โลจิสติกส์สีเขียว กับความสำคัญต่อธุรกิจ | SME Shipping

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไร? ทำไมธุรกิจควรให้ความสำคัญ

ในยุคที่สิ่งแวดล้อมกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจกับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือ โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการขนส่งและซัพพลายเชน นอกจากจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจอีกด้วย ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักว่าโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) คืออะไรและช่วยธุรกิจได้อย่างไรในปัจจุบัน

Green Logistics คืออะไร?

โลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) เป็นแนวทางการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่เน้นลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานสะอาด การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในทุกกระบวนการโลจิสติกส์ ตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง การกระจายสินค้า ไปจนถึงการบริหารซัพพลายเชนทั้งหมด

ผู้ประกอบการ SME ต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังไง?

ผู้ประกอบการ SME จำเป็นต้องปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวเพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจเติบโตคสบคู่ไปกับโลกยุคปัจจุบัน ดังนี้

  1. แนวโน้มตลาดและความต้องการของลูกค้า: ปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วจะได้เปรียบในการแข่งขัน
  2. ข้อกำหนดและกฎหมาย: หลายประเทศออกกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจเผชิญกับข้อจำกัดทางการค้า
  3. การลดต้นทุนในระยะยาว: การใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางขนส่ง และการลดของเสียสามารถช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้
  4. สร้างภาพลักษณ์ที่ดี: ธุรกิจที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจมากขึ้น

ประโยชน์ของ Green Logistics

การนำแนวคิดโลจิสติกส์สีเขียวมาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรรวมทั้งข้อดีอื่นๆ ที่ผู้ประกอบการ SME ควรรู้ ได้แก่

  1. ลดต้นทุนการดำเนินงาน: การใช้พลังงานสะอาดและระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเชื้อเพลิง
  2. ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะ และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. สอดคล้องกับมาตรฐานและกฎหมาย: ลดความเสี่ยงในการถูกปรับหรือถูกจำกัดการทำธุรกิจจากข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อม
  5. ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร: แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า

โลจิสติกส์สีเขียวจึงไม่ใช่แค่แนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และไม่ใช่เพียงแนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในระยะยาว และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นอกจากนี้ การปรับตัวสู่โลจิสติกส์สีเขียวยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจที่มีแนวคิดเดียวกัน ดังนั้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับโลจิสติกส์สีเขียวจะสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ในระยะยาวได้อีกด้วย