สินค้าขนาดใหญ่ ส่งไปต่างประเทศอย่างไรให้คุ้มต้นทุนที่สุด
การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อต้นทุน เช่น ค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า วิธีการจัดส่ง และการบรรจุภัณฑ์ หากไม่มีการวางแผนที่ดี อาจทำให้ต้นทุนสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้การส่งสินค้าคุ้มค่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม ใช้บริษัทโลจิสติกส์ที่มีราคาประหยัด หรือการลดต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์ ซึ่งในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าที่สุด
1.เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม
การเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสมช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งสินค้าขนาดใหญ่ การเลือกส่งสินค้าให้คุ้มต้นทุนที่สุดจึงควรพิจารณาความเร็ว ค่าใช้จ่าย และข้อจำกัดของแต่ละช่องทาง ดังนี้
1.1 ส่งทางเรือ (Sea Freight): เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่และหนัก มีต้นทุนต่ำกว่าทางอากาศ แต่ใช้เวลานาน (2-8 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปลายทาง)
- FCL (Full Container Load): เช่าตู้คอนเทนเนอร์ทั้งตู้ คุ้มค่าสำหรับสินค้าปริมาณมาก
- LCL (Less than Container Load): แชร์พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์ เหมาะสำหรับสินค้าจำนวนน้อยที่ไม่เต็มตู้
1.2 ส่งทางอากาศ (Air Freight): เหมาะกับสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว แต่มีต้นทุนสูง เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงและน้ำหนักเบา
1.3 ส่งทางรถบรรทุกหรือรถไฟ (Rail/Road Freight): ใช้ได้กับบางประเทศ เช่น ในเอเชียหรือยุโรป ค่าขนส่งต่ำกว่าทางอากาศและเร็วกว่าทางเรือ
2. ใช้บริษัทขนส่งที่ให้บริการครบวงจร
การเลือกบริษัทโลจิสติกส์ที่มีบริการขนส่งแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับสินค้า แพ็กกิ้ง ไปจนถึงการจัดการศุลกากร เพื่อความสะดวกและลดความยุ่งยากในการจัดส่ง ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทขนส่งที่ครอบคลุมทุกบริการทั้งในและต่างประเทศ เช่น
- DHL Express: ให้บริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ระหว่างประเทศ โดยรองรับน้ำหนักสูงสุด 1,000 กิโลกรัมต่อชิ้น และน้ำหนักรวมไม่เกิน 3,000 กิโลกรัมต่อการจัดส่ง ขนาดสูงสุดต่อชิ้นคือ ความยาว 300 ซม. และความกว้าง 200 ซม.
- TNT Express: มีบริการจัดส่งพัสดุขนาดใหญ่ โดยมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุที่มีขนาดเกินมาตรฐาน ขึ้นอยู่กับประเภทของบริการที่เลือก
- LIDI Express: ให้บริการส่งของไปต่างประเทศสำหรับสินค้าขนาดใหญ่ เช่น ของใช้ส่วนตัว เฟอร์นิเจอร์ และการย้ายบ้าน พร้อมบริการเข้ารับถึงที่ทั่วประเทศ และส่งตรงถึงหน้าบ้านปลายทาง
- SME SHIPPING: เชี่ยวชาญในการขนส่งเอกสารและพัสดุภัณฑ์ไปยังต่างประเทศทั่วโลก เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ารายย่อยทั่วไป
- Fast Ship: เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปกับบริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ผ่านบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำ เช่น FedEx, Aramex, UPS
3. คำนึงถึงค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับพัสดุขนาดใหญ่
การส่งพัสดุที่มีขนาดหรือความยาวเกินมาตรฐานอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น พัสดุที่มีความยาวเกิน 100 เซนติเมตร อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าพื้นที่จัดเก็บ ค่าขนย้ายพิเศษ หรือค่าธรรมเนียมการส่งด่วน ดังนั้น ก่อนทำการส่งสินค้าจึงควรตรวจสอบค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เนื่องจากต้องใช้พื้นที่มากขึ้นและอาจต้องใช้พาหนะพิเศษในการขนส่ง
4. การแพ็กสินค้าที่เหมาะสม
การแพ็กสินค้าควรทำอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการกระแทกและความเสียหายระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะสินค้าที่บอบบาง ควรห่อด้วยวัสดุป้องกันการกระแทกหลายชั้น และปิดผนึกกล่องพัสดุให้เรียบร้อย ลดต้นทุนค่าขนส่ง ควรเลือกวัสดุที่แข็งแรง แต่มีน้ำหนักเบาเพื่อลดค่าใช้จ่าย
5. ศึกษาภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมปลายทาง
ในแต่ละประเทศมีกฎระเบียบเกี่ยวกับภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน การศึกษาและเตรียมเอกสารให้ถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดได้ ดังนั้นก่อนทำการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศอย่าลืมตรวจสอบเอกสารเหล่านี้ให้เรียบร้อย
- ตรวจสอบพิกัดศุลกากร (HS Code) และอัตราภาษีของประเทศปลายทาง
- ใช้เงื่อนไข DDP (Delivered Duty Paid) หรือ DAP (Delivered at Place) ตามข้อตกลงกับลูกค้า เพื่อลดต้นทุนรวม
การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศให้คุ้มค่าต้นทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาด น้ำหนัก ปลายทาง และระยะเวลาที่ต้องการให้สินค้าถึงที่หมาย ดังนั้น การเลือกบริษัทขนส่งที่เหมาะสมและการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การส่งสินค้าขนาดใหญ่ไปต่างประเทศเป็นไปอย่างคุ้มค่า ปลอดภัย และคุ้มต้นทุนที่สุดนั่นเอง