เมื่อพูดถึง “Tariff” หรือ ภาษีนำเข้า หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเรื่องของภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้านำเข้าเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว Tariff คือ เครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน และยังคงเป็น “อาวุธ” สำคัญที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปกป้องเศรษฐกิจในประเทศและต่อรองกับคู่ค้า
ในบทความนี้ เราจะพาไปสำรวจประวัติของ Tariff ตั้งแต่ยุคแรก ๆ จนถึงปัจจุบัน พร้อมอธิบายว่าเหตุใด อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงนำกลับมาใช้อย่างเข้มข้น และผลกระทบต่อการค้าโลกและประเทศไทยเป็นอย่างไร
ประวัติของ Tariff: จากรายได้รัฐสู่เครื่องมือการเมือง
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 18–19 รายได้หลักของรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาจาก Tariff เนื่องจากยังไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รัฐบาลจึงต้องเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปเป็นหลัก นอกจากจะสร้างรายได้ให้รัฐแล้ว Tariff ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ปกป้องอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ของอเมริกา
แนวคิดนี้เรียกว่า Protectionism หรือ “การคุ้มครองทางการค้า” ที่มีเป้าหมายคือ ทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศแทน
ในยุคเดียวกันนี้ หลายประเทศในยุโรปก็ใช้มาตรการลักษณะเดียวกัน เช่น อังกฤษที่มี “Corn Laws” เพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ จนกลายเป็นบรรทัดฐานของการใช้ ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์
Tariff ในศตวรรษที่ 20: จาก Great Depression สู่การค้าเสรี
แม้ว่า Tariff จะถูกใช้มาตลอด แต่ก็มีผลลัพธ์ด้านลบที่สำคัญ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Smoot-Hawley Tariff Act ปี 1930 ที่สหรัฐอเมริกาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสูงมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) มาตรการนี้ทำให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากอเมริกา เช่นกัน ส่งผลให้การค้าโลกลดลงและเศรษฐกิจโลกยิ่งทรุดหนัก
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกา และพันธมิตรจึงหันไปสร้างระบบ การค้าเสรี (Free Trade) ภายใต้ GATT และต่อมาคือ WTO เพื่อลดกำแพงภาษีและป้องกันไม่ให้เกิด “สงครามการค้า” อีกครั้ง
Tariff ในยุคทรัมป์: การกลับมาของสงครามการค้า
แม้โลกจะเคลื่อนไปสู่เสรีการค้า แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงปี 2017–2021 ได้หยิบ Tariff มาใช้เป็นอาวุธอีกครั้ง โดยเฉพาะกับ ประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอเมริกา
ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ โดยให้เหตุผลว่า จีนเอาเปรียบอเมริกา ทั้งด้านดุลการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผลลัพธ์คือเกิดสิ่งที่ถูกเรียกว่า สงครามการค้า (Trade War) ที่สั่นสะเทือนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
นอกจากจีนแล้ว ทรัมป์ยังใช้ Tariff กดดันสหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เพื่อบังคับให้ย้ายฐานการผลิตกลับอเมริกา และสร้างงานในประเทศ
Tariff คือกำแพงที่กีดกัน แต่ก็ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
แม้ Tariff จะช่วยปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ แต่ก็มี ผลเสียในระยะยาว คือทำให้ราคาสินค้าในประเทศสูงขึ้น ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนเพิ่ม อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของอเมริกา เช่นกัน
ในกรณีของสงครามการค้าสหรัฐ–จีน งานวิจัยจำนวนมากระบุว่า ธุรกิจอเมริกันและผู้บริโภคในสหรัฐเอง คือผู้ที่รับภาระต้นทุน Tariff มากที่สุด ไม่ใช่จีนตามที่ตั้งใจ เพราะสินค้านำเข้ามีความจำเป็นในห่วงโซ่อุปทาน
ผลกระทบของ Tariff ต่อไทยและผู้ส่งออก
สำหรับประเทศไทย Tariff ของอเมริกา ส่งผลโดยตรงต่อผู้ส่งออกที่ขายสินค้าไปยังตลาดอเมริกา สินค้าอย่าง สิ่งทอ เสื้อผ้า อาหารแปรรูป และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ล้วนได้รับผลกระทบ
ในปี 2025 อเมริกา ปรับลดฐานจากการคาดการณ์ภาษีตอบโต้ 36% เหลือ 19% แต่ก็ยังเป็นแรงกดดันสำคัญ ทำให้การส่งออกครึ่งปีหลังชะลอตัวอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์คาดว่าภาพรวมทั้งปีการส่งออกไทยจะเติบโตได้เพียง 1.5–4% เท่านั้น แม้ครึ่งปีแรกจะขยายตัวสูงถึง 15%
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่ง ปรับกลยุทธ์ เช่น กระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ หรือใช้บริการศูนย์กระจายสินค้า (Fulfillment Center) ในต่างประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษี
บทเรียนจาก Tariff: อาวุธทางเศรษฐกิจที่ไม่มีวันตาย
สิ่งที่เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์คือ Tariff ไม่ได้หายไปไหน มันถูกหยิบมาใช้ซ้ำทุกครั้งที่ประเทศมหาอำนาจต้องการสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจหรือการเมือง
จากศตวรรษที่ 18 ที่ Tariff เป็นรายได้หลักของอเมริกา → สู่ยุค Great Depression ที่ Tariff ทำเศรษฐกิจโลกทรุด → จนถึงยุคทรัมป์ที่ Tariff กลับมาเป็นอาวุธในสงครามการค้า
สำหรับผู้ส่งออกไทย นี่คือ “สัญญาณเตือน” ว่าการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไปอาจเสี่ยงอย่างยิ่ง และการปรับตัวอย่างรวดเร็วคือกุญแจรอดพ้นจากผลกระทบของนโยบายการค้าโลก
แหล่งที่มา
- Kasikorn Research Center. (2025). การส่งออกไทยครึ่งปีแรกโตแรง ก่อนเจอมาตรการภาษีอเมริกา ครึ่งปีหลังชะลอตัว. Kasikorn Research
- White House. (2025). Suspending Duty-Free de minimis Treatment. Whitehouse.gov
- FedEx. (2025). Regulatory Alert: Elimination of de minimis imports. FedEx.com
WTO & Trade History. Tariffs and protectionism in historical context. WTO.org