ในปี 2025 สหรัฐฯ ประกาศยกเลิกสิทธิ de minimis หรือการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรการที่ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กและแพลตฟอร์มอี‑คอมเมิร์ซ ส่งผลให้ มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025 กลายเป็นหัวใจสำคัญของผู้ส่งสินค้าไปยังอเมริกา โดยเฉพาะผ่านบริการด่วนอย่าง FedEx และ DHL
ภาพรวมการเปลี่ยนแปลง: ยุติ de minimis ไทย–สหรัฐ
ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป สหรัฐฯ จะยกเลิกการยกเว้นภาษีสินค้า ทุกชิ้นไม่ว่าจะมูลค่าเท่าไหร่ ที่ส่งเข้าไปยังอเมริกา ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงและการป้องกันการส่งสินค้าผิดกฎหมาย (เช่น ยาเสพติด สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ)
เดิมที สิทธิ de minimis ยอมให้พัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์เข้าประเทศได้โดยไม่เสียภาษี และไม่ต้องผ่านพิธีการศุลกากรซับซ้อน แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว แม้แต่พัสดุราคาถูก…ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวน และผ่านกระบวนการศุลกากรอย่างละเอียด
ปฏิบัติการของบริษัทขนส่งด่วน: FedEx และ DHL ปรับตัวอย่างไร?
FedEx ได้ออก Regulatory Alert แจ้งลูกค้าเกี่ยวกับการยกเลิก de minimis และแนะนำให้ลูกค้าคำนวณภาษีล่วงหน้า เตรียมเอกสารให้ครบ เช่น HS Code, ใบสินค้าระบุต้นทาง/ราคา เพื่อให้ผ่านศุลกากรได้เร็วขึ้น
ขณะที่ DHL Express เคยหยุดรับพัสดุที่เกิน 800 ดอลลาร์ชั่วคราว (เดือนเมษายน 2025) เพื่อปรับระบบให้รองรับมาตรการใหม่ และเริ่มกลับมารับพัสดุตามปกติอีกครั้งตั้งแต่ 28 เมษายน 2025 โดยใช้ระบบ “informal entry” สำหรับสินค้ามูลค่าระหว่าง 800–2,500 ดอลลาร์ ที่ช่วยให้กระบวนการผ่านศุลกากรเร็วขึ้น
นอกจากนี้ DHL ยังเสนอ โซลูชันเสริม เช่น:
- Break Bulk Express (BBX): รวมหลายพัสดุให้เป็นคำขอศุลกากรชุดเดียว (ช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อน)
- Foreign Trade Zone (FTZ): พื้นที่พักสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อเลื่อนการชำระภาษี หรือบริหารสต็อกได้ยืดหยุ่นขึ้น
ทำไมผู้ส่งสินค้าไทยต้องจับตา “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” นี้?
- ต้นทุนเพิ่มขึ้นแน่นอน – แม้แต่สินค้าราคาประหยัดก็ต้องผ่านพิธีการศุลกากรและเสียภาษีเต็มจำนวน ซึ่งทำให้ต้นทุน “landed cost” ของผู้ส่งออกไทยสูงขึ้นทันที
- ลูกค้าอาจลังเล – เมื่อสินค้าถูกขึ้น 19% หรือเสียค่าดำเนินการสูง ลูกค้าในตลาดปลายทางอาจเปลี่ยนไปซื้อจากผู้ขายที่มีสต็อกในสหรัฐฯ แล้ว ลดภาระภาษี
- การแข่งขันเปลี่ยนรูปแบบ – ผู้ส่งออกไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ เช่น ส่งทีละเยอะขึ้น (เพื่อกระจายต้นทุน per unit), เปลี่ยนเส้นทางขนส่ง, หรือใช้บริการ BBX / FTZ ของ DHL เพื่อลดความซับซ้อน
แนวทางปฏิบัติที่ SMEs ไทยสามารถนำไปใช้ได้จริง
- คำนวณภาษีและค่าผ่านศุลกากรล่วงหน้า ให้ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าราคาสุทธิจะเท่าไหร่
- เตรียมเอกสารให้พร้อม, เช่น HS Code และ ใบกำกับสินค้า (Invoice) ที่ชัดเจน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการขนส่งอย่าง SME Shipping ก่อนการจัดส่งสินค้าธุรกิจ
- พิจารณาเก็บสต็อกในสหรัฐฯ (Fulfillment Center/3PL) เพื่อลดความเสี่ยงจากภาษีตอนนำเข้า และเพิ่มความเร็วในการส่งถึงปลายทาง
- สื่อสารกับลูกค้าอย่างจริงใจ อธิบายว่าทำไมราคาขายถึงเปลี่ยน, และเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อใจ
มาตรการนี้เปลี่ยนเกมการส่งสินค้าไปอเมริกาแบบสิ้นเชิง แม้บริการขนส่งด่วนจากบริษัทไปรษณีย์เอกชน อย่าง FedEx และ DHL พยายามปรับเครื่องมือและช่องทางให้ลูกค้ารับมือได้ง่ายขึ้น แต่ SMEs ไทยยังต้องปรับตัวลงลึก ทั้งในเรื่อง ต้นทุน, การจัดเตรียมเอกสาร, และ เส้นทางโลจิสติกส์
หากคุณกำลังส่งของออกไปสหรัฐอเมริกา อย่ามองข้าม “มาตรการขนส่งภาษีสหรัฐ 2025” เพราะนี่อาจเป็นตัวพาให้คุณได้เปรียบทางธุรกิจ…หรือขาดทุนโดยไม่รู้ตัว
ปรึกษาผู้ช่วยมืออาชีพด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศของ SME Shipping ได้ฟรี ก่อนการส่งสินค้าไปที่อเมริกา เพียงโทรหาเราที่ 02-105-7777 หรือแชทผ่าน LINE OA: @shipping
