BLOG

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศ | SME Shipping

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศ | SME Shipping

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

 ในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การเลือกวิธีการชำระเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมั่นใจในความปลอดภัยของธุรกรรม รวมถึงลดความเสี่ยงในการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า การชำระเงินสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างคู่ค้า ปัจจัยด้านความสะดวก ค่าธรรมเนียม และระดับความปลอดภัยของแต่ละวิธี ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะพาคุณไปรู้จักกับการชำระเงินระหว่างประเทศว่ามีวิธีการชำระเงินสินค้าแบบใดบ้าง

การชำระเงินระหว่างประเทศ (International Payment) คืออะไร?

การชำระเงินระหว่างประเทศคือกระบวนการทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายที่อยู่ในประเทศต่างกันใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านธนาคาร ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ

การชำระเงินระหว่างประเทศมีกี่ประเภท?

การชำระเงินระหว่างประเทศสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามวิธีการและเงื่อนไขของการชำระเงิน ดังนี้

1.ชำระเงินล่วงหน้า (Advance Payment / Prepayment)

  • ผู้ซื้อชำระเงินเต็มจำนวนหรือบางส่วนก่อนที่ผู้ขายจะส่งสินค้า
  • ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ขาย แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ซื้อ
  • มักใช้เมื่อผู้ขายต้องการเงินทุนล่วงหน้า หรือผู้ซื้อไม่มีเครดิตที่ดี

2. การชำระเงินโดยตรง (Open Account Payment)

  • ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดระยะเวลาการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน
  • เหมาะกับธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและความไว้วางใจระหว่างกัน
  • มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย เพราะผู้ซื้ออาจผิดนัดชำระเงิน

3. การเก็บเงินผ่านเอกสาร (Documentary Collection – D/C) 

ธนาคารเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยจะส่งเอกสารการค้าให้ผู้ซื้อผ่านธนาคารผ่าน 2 รูปแบบหลัก คือ

  • Documents Against Payment (D/P) → ผู้ซื้อจ่ายเงินก่อนรับเอกสาร
  • Documents Against Acceptance (D/A) → ผู้ซื้อรับเอกสารก่อน แล้วชำระเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด

4. หนังสือเครดิต (Letter of Credit – L/C)

  • ธนาคารของผู้ซื้อให้การรับประกันว่าจะชำระเงินให้ผู้ขายตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน
  • ลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย และนิยมใช้ในธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • มีค่าธรรมเนียมสูง และต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

5. การชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Payment – E-Payment) 

แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และลดค่าธรรมเนียมเมื่อเทียบกับการโอนผ่านธนาคาร เช่น

  • SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)
  • PayPal, Wise, Payoneer
  • Alipay, WeChat Pay

6. การโอนเงินผ่านธนาคาร (Bank Transfer / Telegraphic Transfer – T/T)

  • ธนาคารของผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายผ่านเครือข่าย SWIFT หรือระบบธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
  • มีค่าธรรมเนียม และอาจใช้เวลาหลายวันขึ้นอยู่กับธนาคารปลายทาง

7. การใช้สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency Payment)

  • ใช้ Bitcoin, Ethereum หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ
  • ไม่มีค่าธรรมเนียมจากธนาคาร และทำธุรกรรมได้รวดเร็ว
  • มีความเสี่ยงสูงจากความผันผวนของราคา และข้อจำกัดทางกฎหมายในบางประเทศ

วิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศมีแบบใดบ้าง?

การเลือกวิธีการชำระเงินเพื่อชำระค่าสินค้าต่างประเทศขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ความปลอดภัย ค่าธรรมเนียม ระยะเวลาการทำธุรกรรม และเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างครบถ้วน ซึ่งวิธีการชำระเงินค่าสินค้าที่พบเห็นกันบ่อยในการค้าระหว่างประเทศมี 4 วิธี ได้แก่

1. T/T (Telegraphic Transfer) การโอนเงินผ่านธนาคาร เป็นการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบ SWIFT หรือเครือข่ายธนาคาร โดยผู้ซื้อโอนเงินไปยังบัญชีของผู้ขายโดยตรง มักใช้ในกรณีที่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ชัดเจน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

  • ข้อดี: เหมาะสำหรับการซื้อขายทั่วไป เป็นธุรกิจที่มีการทำธุรกรรมสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย  และสามารถใช้ชำระเงินเป็นงวดตามข้อตกลง
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมการโอนที่อาจสูงขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และผู้ซื้อมีความเสี่ยงหากผู้ขายไม่ส่งสินค้า หรือส่งสินค้าผิดเงื่อนไข

2. L/C (Letter of Credit) หนังสือเครดิต เป็นวิธีการชำระเงินโดยธนาคารของผู้ซื้อออกหนังสือค้ำประกันการชำระเงินให้ผู้ขาย และการชำระเงินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้ในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง เช่น การนำเข้า-ส่งออก

  • ข้อดี: เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือกรณีที่คู่ค้าไม่เคยทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เพราะเป็นการลดความเสี่ยงให้ทั้งสองฝ่าย เนื่องจากมีธนาคารเป็นตัวกลาง เพิ่มความมั่นใจให้ผู้ขายว่าจะได้รับเงินเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข
  • ข้อเสีย: มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าการโอนเงินแบบ T/T และใช้เวลาในกระบวนการนานกว่าเพราะต้องใช้เอกสารจำนวนมาก

 3. PayPal / Wise ระบบชำระเงินออนไลน์เป็นแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เหมาะกับการซื้อขายออนไลน์และการค้าปลีก และการโอนเงินระหว่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง

  • ข้อดี: ใช้งานง่ายและรวดเร็ว มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ (สำหรับ PayPal) และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโอนเงินผ่านธนาคาร
  • ข้อเสีย: ไม่รองรับทุกประเทศ และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในบางพื้นที่

 4. Open Account บัญชีเปิด (เครดิตการค้า) เป็นวิธีการชำระเงินสินค้าต่างประเทศที่ผู้ขายส่งสินค้าให้ก่อน และกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เช่น 30, 60 หรือ 90 วัน นิยมใช้วิธีนี้เมื่อมีความไว้วางใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสูง เหมาะสำหรับบริษัทที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

  • ข้อดี: ช่วยให้ผู้ซื้อมีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น และลดความยุ่งยากเรื่องเอกสารและกระบวนการชำระเงิน
  • ข้อเสีย: มีความเสี่ยงสูงสำหรับผู้ขาย หากผู้ซื้อไม่จ่ายเงินตามกำหนด และอาจต้องมีประกันความเสี่ยงทางการค้าหรือใช้บริการรับประกันสินเชื่อ