BLOG

วิธีการคำนวนภาษีนำเข้าสำหรับผู้ประกอบการ | SME Shipping

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการคำนวนภาษีนำเข้าสำหรับผู้ประกอบการ | SME Shipping

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง

วิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้

การนำเข้าสินค้าเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจเพื่อบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการทำความรู้จักกับภาษีนำเข้าไม่ได้มีเพียงแต่อากรขาเข้าเท่านั้น แต่ผู้ประกอบการยังจะสามารถคำนวณเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ของสินค้าในธุรกิจนั้นๆ ของตนเองได้ด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนด้านการเงินได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด รวมถึงช่วยให้ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง ซึ่งวันนี้ SME Shipping จะมาอธิบายวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าพร้อมตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

การคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้

1. องค์ประกอบของภาษีนำเข้า

ภาษีนำเข้าประกอบด้วยค่าภาษีหลายประเภท ได้แก่

  • อากรขาเข้า (Import Duty) – คิดตามพิกัดอัตราศุลกากร
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax) – คิดจากมูลค่าสินค้ารวมอากรขาเข้า
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) [ถ้ามี] – คิดเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยหรือสินค้าต้องห้ามบางประเภท
  • ภาษีเพื่อมหาดไทย (Local Tax) [ถ้ามี] – ใช้กับสินค้าบางประเภท

ในการนำเข้าสินค้าไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ผู้นำเข้าสินค้านั้นๆ จะต้องทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีเพื่อให้การประกอบธุรกิจนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น และก่อนอื่นจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าภาษีต้นทุนที่ต้องนำไปกำหนดราคาขายด้วย โดยกรมศุลกากรมีวิธีการคิดภาษีนำเข้าโดยใช้ราคา CIF (Cost Insurance and Freight) ที่เป็นมูลค่ารวมของสินค้า ณ ท่าเรือปลายทาง ซึ่งใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. Cost (C) – ราคาสินค้า ณ ต้นทาง (FOB – Free on Board)
  2. Insurance (I) – ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  3. Freight (F) – ค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทาง

กรมศุลกากรจะใช้ ราคา CIF เป็นเกณฑ์คำนวณภาษีนำเข้า เช่น อากรขาเข้า, ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการลดมูลค่าสินค้า

2. สูตรการคำนวณภาษีนำเข้า

การคำนวณภาษีที่ถูกต้องช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมต้นทุน ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรได้อย่างถูกต้อง และวิธีการคำนวณภาษีนำเข้าที่ผู้ประกอบการควรรู้ มีสูตรการคำนวณ ดังนี้

  • คำนวณราคา CIF: ค่าสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่งระหว่างประเทศ=CIF
  • คำนวณอากรขาเข้า: CIF×อัตราภาษีขาเข้า(%) = อากรขาเข้า (อัตราภาษีขาเข้าอาจเป็น 5%, 10%, 20% หรือ 30% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า)
  • คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%): (CIF+อากรขาเข้า)×7%=ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • รวมภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ: อากรขาเข้า+ภาษีมูลค่าเพิ่ม=มูลค่ารวมภาษีขาเข้าที่ต้องชำระ

ผู้ประกอบการต้องคำนวณภาษีนำเข้าอย่างถูกต้องทุกครั้งในการนำเข้าสินค้า เพื่อให้สามารถวางแผนต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมศุลกากรใช้ ราคา CIF (Cost, Insurance, and Freight) เป็นฐานในการคำนวณภาษีนำเข้า ซึ่งรวมถึง อากรขาเข้า และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) การเข้าใจสูตรการคำนวณที่ถูกต้องจะช่วยลดความผิดพลาดและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น


ข้อควรรู้เพิ่มเติม

✅ ตรวจสอบ HS Code (พิกัดศุลกากร) ของสินค้า เพื่อทราบอัตราภาษีที่ถูกต้อง
✅ ตรวจสอบ FTA (ข้อตกลงการค้าเสรี) อาจได้รับสิทธิพิเศษลดภาษี
✅ ใช้ ใบขนสินค้าขาเข้า (Import Entry Form) ประกอบการนำเข้าทุกครั้ง