BLOG

ทำไม Green Logistics คือสิ่งที่คุณควรใส่ใจ | SME Shipping

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

ทำไม Green Logistics คือสิ่งที่คุณควรใส่ใจ | SME Shipping

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต

SME ยุคใหม่ต้องรู้! ทำไม ‘การขนส่งสะอาด’ ถึงสำคัญกว่าที่คิด

ปัจจุบันผู้บริโภคและคู่ค้าทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ คาร์บอนฟุตพรินต์ กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นต้องใส่ใจ โดยเฉพาะภาคการขนส่งซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลัก สำหรับ SME (ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) การใส่ใจเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก แต่ยังเป็น “โอกาสทางธุรกิจ” ที่จับต้องได้จริง ในบทความนี้โดย SME Shipping จะชวนคุณมาทำความเข้าใจว่าเหตุใด ‘Carbon Footprint’ จึงสำคัญกว่าที่หลายคนเคยคิด

คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง คืออะไร?

คาร์บอนฟุตพรินต์ คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมา ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม จากกิจกรรมของบุคคล องค์กร หรือการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่ง โดยตัวอย่างกิจกรรมที่ก่อให้เกิดคาร์บอนฟุตพรินต์ ได้แก่

  • การใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือสำนักงาน
  • การเดินทางด้วยรถยนต์ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ๆ
  • การผลิตสินค้าและกระบวนการขนส่ง

สำหรับการขนส่งนั้น คาร์บอนฟุตพรินต์จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ระยะทาง น้ำหนักและขนาดของสินค้า รวมถึงรูปแบบของการขนส่งที่ใช้

ทำไมคาร์บอนฟุตพรินต์ถึงสำคัญสำหรับ SME ในภาคการขนส่ง?

การขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เนื่องจากใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ดีเซลและเบนซิน ซึ่งเมื่อเผาไหม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน การที่ SME หันมาให้ความสำคัญกับการวัดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง รวมทั้งเลือกใช้บริการขนส่งที่ไม่ใช่แค่การรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องส่งผลดีในหลายด้านต่อธุรกิจ ดังนี้

1. ลดต้นทุนในระยะยาว

การปรับปรุงกระบวนการขนส่ง เช่น การรวมรอบจัดส่ง การเลือกวิธีที่ประหยัดพลังงาน หรือเลือกใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่เน้น Green Transport สามารถลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงและเวลาได้จริง

2. ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

ลูกค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา นิยมแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SME ที่แสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างโปร่งใส จะสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางการตลาด

3. เพิ่มโอกาสในการส่งออก

หลายประเทศและองค์กรต้องการคู่ค้าที่สามารถแสดงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Label หรือ Environmental Reporting หาก SME สามารถระบุข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน จะได้เปรียบในการแข่งขัน

4. เตรียมพร้อมต่อกฎหมายในอนาคต

หลายประเทศเริ่มใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการลดคาร์บอน เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของEU ที่จะเก็บภาษีนำเข้าตามปริมาณคาร์บอน หาก SME เตรียมข้อมูลและปรับตัวแต่เนิ่นๆ จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

5. สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจที่ยั่งยืน

การใส่ใจคาร์บอนฟุตพรินต์ช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรว่าเป็นธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ซึ่งเป็นจุดขายสำคัญในการสร้างความภักดีของลูกค้าและดึงดูดพันธมิตร

 การใส่ใจ “คาร์บอนฟุตพรินต์ในการขนส่ง” ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือทางธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุน สร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในระดับสากล SME ที่เริ่มต้นวัดและปรับปรุงตั้งแต่วันนี้จะมีความได้เปรียบทั้งในตลาดปัจจุบันและอนาคต