BLOG

ค่าระวางเรือ (Freight Charge)

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

ค่าระวางเรือ (Freight Charge)

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping

จุดประสงค์ของบทความนี้คือทำให้คุณ เข้าใจค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือ ไม่ใช่เฉพาะ Freight เพื่อให้คุณทราบเกี่ยวกับ 

  1. การประเมินงบประมาณ
  2. การเลือก LCL/FCL และบริการปลายทางได้เหมาะสม
  3. ลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายแอบแฝง

ผมหวังว่าบทความนี้นี้จะทำให้คุณ สามารถวางแผนการคุยงานกับทีมขนส่งของคุณง่ายขึ้น และตัดสินใจได้มั่นใจขึ้นครับ

1) Freight คืออะไร

Freight หรือ ค่าระวางเรือ คือ ค่าขนส่งทางทะเล จากท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) ไปสู่ ท่าเรือปลายทาง (Port of Discharge) โดยค่า Freight นี้จะไม่ได้รวม ค่าปฏิบัติการที่ท่าเรือทั้งสองฝั่ง, ค่ารวบรวม/กระจายของ (LCL), ค่าบริการเอกสาร, ค่าพิธีศุลกากร, ค่าขนส่งภาคพื้นดิน (Trucking/Delivery), ประกันภัย, ภาษีอากร และค่าควบคุมพิเศษอื่น ๆ ภาพรวมของค่าใช้จ่าย ให้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะทำให้คุณมองเห็นภาพ และจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆได้ง่ายมากขึ้น  (A) Origin Charges + (B) Freight + (C) Destination & Delivery

2) ส่งของทางเรือ ต้องจ่ายอะไรบ้าง ?

โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่ไม่ใช่แค่ ค่า Freight 

จากบ้านคุณ → ถึงบ้านผู้รับ

A) Origin Charges ค่าใช้จ่าย ฝั่งต้นทาง

ค่าใช้จ่ายก่อนของขึ้นเรือ เช่น

  • THC (Terminal Handling) ค่าปฏิบัติการท่าเรือต้นทาง
  • CFS/Consolidation (สำหรับ LCL) ค่ารวบรวมของในโกดังรวม
  • Documentation / Handling Fee ค่าบริการเอกสารและจัดการขนส่ง
  • Pick-up/Drayage เป็นค่าจ้างรถไปรับของจากที่อยู่ของเรา แล้วนำไปยังจุดของสายเรือ/โกดังกลาง เพื่อเตรียมส่งออก
  • Packaging/Crating ค่าบรรจุ (กล่อง/ลังไม้/กันกระแทก)
  • Insurance แนะนำสำหรับของแตกหัก/มีมูลค่าสูง

B) Freight (ค่าระวางเรือ)

  • การส่งแบบ LCL (Less than Container Load) คิดตาม CBM หรือ W/M (Weight or Measurement—คิดตามค่าที่สูงกว่า หรือคิดตามขนาดพัสดุ) และมักมี ขั้นต่ำ 1 CBM
  • การส่งแบบ FCL (Full Container Load) คิดเป็น “เหมาตู้” (20’GP ~33 CBM / 40’HC ~67 CBM) ไม่ว่าของจะเต็มหรือไม่
  • Surcharges ที่อาจเจอ มักเรียกรวมว่า Ocean Freight Surcharges และมักถูกรวมเป็น “All-in ocean freight” ได้แก่
    BAF (Bunker/น้ำมัน), CAF (ค่าเงิน), PSS (Peak Season), GRI (ปรับขึ้นเรททั่วไป), Congestion (ท่าแออัด), War Risk/Insurance (เส้นทางเสี่ยง), Low Sulphur/ETS (ข้อกำกับสิ่งแวดล้อมในบางภูมิภาค)

C) Destination & Delivery (ฝั่งปลายทาง)

  • DTHC / CFS Deconsolidation (LCL) ค่าปฏิบัติการท่าเรือ/โกดังปลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละสายเรือ มีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  • Customs Brokerage/Entry ค่าดำเนินพิธีศุลกากร
  • Inspection/Exam ค่าตรวจสุ่มหรือเฉพาะสินค้า (ขึ้นกับกฎหมายของประเทศปลายทาง)
  • Storage/Demurrage/Detention ค่ากองเก็บ/เลยเวลาคืนตู้/เลยฟรีไทม์ 

ตัวอย่างให้เห็นภาพ

1 ลูกค้าติดเคลียร์เอกสาร ทำให้ ของค้างในท่า 3 วัน เกินฟรีไทม์ → โดน Storage

2 ลูกค้ายังไม่เรียกรถยกตู้ออกจากท่า ตู้จอดท่าเกินฟรีไทม์ → โดน Demurrage

3 ลูกค้าเอาตู้ไปขนของที่คลังแล้ว แต่ คืนตู้ช้า เกินฟรีไทม์ → โดน Detention

  • Delivery (Trucking) ส่งถึงปลายทางแบบ Curbside หรือ White-glove

    ส่งหน้าบ้าน (Curbside): รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ
    บริการพรีเมียม (White-glove): ทีมขนของช่วยยกเข้าในบ้าน จัดวางตามห้อง แกะห่อและเก็บขยะให้เรียบร้อย
  • Duties/Taxes/Import Charges ภาษี/อากร/ค่าธรรมเนียมตามพิกัดสินค้าและกฎหมายประเทศปลายทาง 

สรุป: ลูกค้ามักเข้าใจว่า “Freight = ค่าขนส่งทั้งหมด” แต่จริง ๆ แล้ว “Freight” เป็นเพียง ส่วนที่ 2 ของภาพรวมเท่านั้น

3) LCL vs FCL: เลือกอย่างไรให้คุ้มและลดความเสี่ยง

  • LCL เหมาะเมื่อ CBM น้อย จ่ายตามพื้นที่จริง แต่มีจุดสัมผัสมาก (รวมของ/กระจายของ)
  • FCL เหมาะเมื่อ CBM สูง (โดยประสบการณ์ ~15–20 CBM บางฤดูกาลเริ่มคุ้ม) คุมความเสี่ยง/เวลา/ความเสียหายได้ดีกว่า
  • เช็คเสมอ: ขอใบเสนอราคาเทียบ LCL vs FCL เมื่อปริมาตรเริ่มเข้าโซนคุ้มค่า

4) เอกสารและข้อกำกับ

เอกสารพื้นฐานที่แทบทุกปลายทางต้องมี:

  • Commercial Invoice (ถ้ามีมูลค่า/การค้าหรือประเมินศุลกากร), Packing List (ระบุรายลัง/รายการหลัก/จำนวน), Bill of Lading
  • ข้อมูลศุลกากร ของประเทศปลายทาง (HS Code/คำอธิบายสินค้า/ถิ่นกำเนิด/จุดประสงค์การใช้งาน)
  • ข้อกำกับด้านความปลอดภัย/ประกาศล่วงหน้า: หลายประเทศมีระบบยื่นข้อมูลสินค้าล่วงหน้า (Advance Cargo Information) สำหรับทางเรือ เช่น AMS/ISF (สหรัฐฯ), ENS (สหภาพยุโรป), AFR (ญี่ปุ่น), ACI (หลายประเทศ) แนวคิดคือ “แจ้งข้อมูลก่อนเรือเทียบท่า” เพื่อคัดกรองความเสี่ยงล่วงหน้า → ต้องตกลงตั้งแต่ต้นว่าใครยื่น/ยื่นเมื่อไร
  • ใบอนุญาตเฉพาะ (ถ้ามี): พืช/อาหาร/สารเคมี/แบตเตอรี่/วัตถุอันตราย ฯลฯ ต่างประเทศมีกฎแตกต่างกัน → เซลส์ควรถาม “มีรายการพิเศษไหม” เพื่อวางแผนก่อน

การจัดการเอกสารเหล่านี้ จะอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนของ Documentation / Handling Fee หรือ ค่าบริการอื่นๆ 

5) Incoterms® และขอบเขตรับผิดชอบ 

Incoterms® (โดย ICC) คือนิยามขอบเขตหน้าที่ผู้ขาย-ผู้ซื้อ หรือ ผู้ส่ง-ผู้รับ ที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น

  • EXW/FOB ฝั่งผู้ซื้อ หรือผู้รับสินค้า รับภาระมากขึ้น (รวมทะเล/ปลายทาง)
  • CIF/CFR ผู้ขายรวมค่าทะเลบางส่วน
  • DAP/DDP ผู้ขาย/ผู้จัดส่งรับภาระปลายทางมากขึ้น (รวมส่งถึงที่/รวมภาษี – ขึ้นกับตกลง)

ในบริบทธุรกิจบริการขนส่ง/ย้ายของ แนะนำให้ ระบุขอบเขตบริการชัด ว่าใบเสนอราคาครอบคลุมถึงตรงไหน (เช่น “Door to Port” หรือ “Port to Door” หรือ “Door to Door” ฯลฯ) เพื่อให้คุณ เปรียบเทียบราคาของแต่ละบริการ ได้อย่างเท่าเทียมกัน 

6) วิธี “ขอราคา Freight” แบบไม่พลาดและไม่บานปลาย

ใช้ลิสต์นี้ส่งให้เซลส์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์ ครอบคลุมทั้ง 3 ส่วนของต้นทุน

  1. ปลายทาง เมือง/ประเทศ/ZIP (ถ้ามี) + ต้องการส่ง ถึงท่า หรือ ถึงบ้าน (Curbside/White-glove)
  2. ลักษณะสินค้า โดยย่อ: ประเภท (เช่น ของใช้ส่วนบุคคล/ตัวอย่างสินค้า/เชิงพาณิชย์), “Not for resale” (ถ้าไม่ใช่เพื่อขาย)
  3. ปริมาตรรวม (CBM), น้ำหนักรวม (kg), ขนาดลังหลัก, วิธีแพ็ก (ลังไม้/กล่อง/พาเลต)
  4. ไทม์ไลน์ วันของพร้อม/ช่วงเวลาคงที่หรือยืดหยุ่น
  5. เอกสาร/ข้อกำกับพิเศษ ที่คาดว่าจะต้องใช้ (อนุญาต/ใบรับรอง/คำเตือนอันตราย ฯลฯ)
  6. ข้อกำหนดประกาศล่วงหน้า/ศุลกากร ของปลายทาง: ใครยื่น, เส้นตาย, ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
  7. ประกันภัย ต้องการหรือไม่ (ชนิด/ทุนคุ้มครอง)
  8. Incoterms®/ขอบเขตบริการ ที่ต้องการ (Door-to-Door / Door-to-Port ฯลฯ)
  9. ขอใบเสนอราคา “แยก 3 ส่วน” พร้อม รายการรวม/ไม่รวม และระบุ ฟรีไทม์/เงื่อนไข Demurrage/Detention/Storage

7) ตัวอย่างภาพรวมสิ่งที่คุณจะต้องเตรียมบริหารค่าใช้จ่าย

เคสสมมุติ: LCL 8.0 CBM ประเทศ A → ประเทศ B ส่งถึงบ้านแบบ  รถมาส่ง วางลงที่หน้าบ้าน แล้วจบ (Curbside)

  • Origin: THC + CFS + Doc + Pick-up (ถ้ามี) + Insurance
  • Freight (LCL): เรท ราคา บาท ต่อ CBM × 8.0 (ขั้นต่ำ 1 CBM) + Surcharges ตามเส้นทาง
  • Destination: DTHC + Deconsolidation + Brokerage/Entry + ค่าประกาศล่วงหน้า/ความปลอดภัย (ตามกฎประเทศ B) + Trucking Curbside + ภาษี/อากร (ถ้ามี)
  • ความเสี่ยงที่ทำให้บานปลาย: ยื่นข้อมูลปลายทางช้า, เอกสารไม่ครบ, ไม่ล็อก Free-time, ไม่จองรถปลายทางล่วงหน้า, สินค้าเข้าข่ายตรวจพิเศษแต่ไม่ได้เตรียม

เช็กลิสต์ที่ควรถาม-ตอบตั้งแต่เริ่มการขนส่ง

  • ประเทศปลายทาง ต้องยื่นเอกสารระบบไหน? (AMS/ISF, ENS, AFR, ACI ฯลฯ)
  • วันสุดท้าย ที่ต้องเตรียมการให้เสร็จ ก่อนเรือออก คือเมื่อไหร่? (ก่อนเรือออก/ก่อนเรือถึง กี่ชั่วโมง/กี่วัน)
  • ใครเป็นผู้ยื่นดำเนินการพิธีการศุลกากร?  (เอเจนต์/โบรกเกอร์/ฟอร์เวิร์ดเดอร์)
  • ข้อมูลที่ต้องใช้ ครบหรือยัง? (ข้อมูลผู้ส่ง–ผู้รับ–คำอธิบายสินค้า–จำนวนกล่อง–น้ำหนัก–ที่บรรจุ–ท่าเรือ)

เราจะมองต้นทุนเป็น 3 ส่วน: Origin, Freight, Destination/Delivery เพื่อไม่ให้เข้าใจว่า Freight คือทั้งหมด จากนั้นล็อกขั้นตอนสำคัญ (เอกสาร–นัดรถ–ฟรีไทม์) เพื่อกันงบบาน และปิดท้ายด้วยสรุปงบ + ทางเลือกระดับบริการปลายทางให้ผู้ส่งตัดสินใจอย่างมั่นใจครับ

ต้องการใบเสนอราคา ? ติดต่อ SME Shipping 02-105-7777 หรือ ไลน์ @Shipping