BLOG

ภาษีนำเข้าและนโยบายของทรัมป์ น่ากลัวขนาดไหน? | SME Shipping

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ภาษีนำเข้าและนโยบายของทรัมป์ น่ากลัวขนาดไหน? | SME Shipping

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว

ภาษีนำเข้าของอเมริกาจากนโยบายทรัมป์ “น่ากลัว” ขนาดไหนสำหรับผู้ส่งออก?

ในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง สหรัฐอเมริกาได้ใช้นโยบายการค้าเชิงรุกภายใต้แนวคิด “America First” ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และผู้ประกอบการในประเทศคู่ค้ารวมถึงไทยเองก็ต้องเผชิญกับแรงสะเทือนเช่นกัน 

คำถามคือ…ภาษีนำเข้าจากนโยบายของทรัมป์นี้ “น่ากลัว” มากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ส่งออกไทย? ในบทความนี้ของ SME Shipping จะพาคุณไปศึกษานโยบายภาษีนำเข้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมในระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

จุดเริ่มต้นของนโยบายภาษีนำเข้าทรัมป์

ทรัมป์เริ่มใช้นโยบาย “America First” เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในช่วงนั้น ตัวอย่างมาตรการสำคัญ เช่น

  • ขึ้นภาษี เหล็กและอะลูมิเนียม จากหลายประเทศ
  • เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • ขึ้นภาษีสูงถึง 25% สำหรับสินค้าหลายหมวด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ของใช้ภายในบ้าน วัตถุดิบอุตสาหกรรม ฯลฯ

แล้วผู้ประกอบการไทยควรกังวลแค่ไหน?

ข้อควรระวัง

  • หากคุณส่งออก สินค้าที่มีวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีน ไปยังสหรัฐฯ คุณอาจถูก “ตีความว่าเข้าข่าย” สินค้าจีน และต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
  • สินค้าบางประเภทอาจ ถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าถูกขึ้นภาษีโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกค้าในสหรัฐฯ อาจขอเจรจาลดราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า

โอกาสที่ซ่อนอยู่

  • ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ขึ้นภาษี (เช่น ไทย) อาจได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • ผู้ผลิตในไทยสามารถเป็น “ทางเลือกใหม่” แทนจีนในสายตานักธุรกิจสหรัฐฯ

ผู้ส่งออกต้องรับมืออย่างไร?

  1. ตรวจสอบรายการสินค้าว่าอยู่ในรายการขึ้นภาษีหรือไม่
  2. สามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบ Harmonized Tariff Schedule (HTS) ของUSTR
  3. พิจารณาแหล่งวัตถุดิบ/โรงงานผลิต
  4. หากสินค้าหรือวัตถุดิบมาจากจีน ควรมีเอกสารชัดเจนว่าผลิตในไทย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตีความผิด
  5. เจรจากับลูกค้าเรื่องราคาขายและภาษีนำเข้า
  6. บางครั้งลูกค้าอาจรับภาระภาษีเอง หรือหาทางแบ่งความเสี่ยงร่วมกันได้
  7. ใช้ประโยชน์จาก GSP (Generalized System of Preferences)
  8. สินค้าบางรายการจากไทยยังได้รับสิทธิพิเศษ GSP ช่วยลด/ยกเว้นภาษี

นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ “น่ากลัว” สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่เข้าใจกลไกภาษีระหว่างประเทศ แต่หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้วมีการติดตามข่าวสารเรื่องภาษีอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดสินค้า ตรวจสอบต้นทางการผลิต และรู้จักใช้เครื่องมือทางการค้าอย่าง GSP หรือ FTA ให้เป็นก็ยังสามารถส่งออกไปสหรัฐฯ ได้อย่างปลอดภัย และบางกรณีอาจได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้ได้เลยทีเดียว