BLOG

ส่งของทางเรือ หรือ ส่งทางอากาศแบบประหยัดดีกว่ากัน? | SME Shipping

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่งของทางเรือ หรือ ส่งทางอากาศแบบประหยัดดีกว่ากัน? | SME Shipping

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ส่งของทางเรือ VS ส่งทางอากาศแบบประหยัด มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร

 ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์และการค้าระหว่างประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจำนวนมากต้องตัดสินใจเรื่อง “การขนส่ง” ว่าจะเลือกทางเรือหรือทางอากาศจึงจะเหมาะสมกับต้นทุน เวลา และลักษณะสินค้าให้มากที่สุด เพราะการเลือกวิธีขนส่งไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็วเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับงบประมาณ กฎหมายศุลกากร และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่งด้วย ในบทความนี้ของ SME Shipping จึงจะพาคุณมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) และ การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) พร้อมคำแนะนำว่าแบบไหน “คุ้ม” และ “เหมาะ” กับธุรกิจของคุณที่สุด

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางเรือ (Sea Freight) คือการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยใช้ เรือเดินทะเล ซึ่งนิยมใช้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ปริมาณมาก หรือขนาดใหญ่ เช่น เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ สินค้าเกษตร หรือวัตถุดิบต่าง ๆ มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วยค่อนข้างถูกกว่าการขนส่งทางอากาศ เหมาะกับการวางแผนระยะยาวและไม่มีความจำเป็นต้องจัดส่งแบบเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางเรือ (Sea Freight)

ข้อดีข้อเสีย
ค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับทางอากาศใช้เวลาในการขนส่งนาน (ปกติ 2-6 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับเส้นทาง)
เหมาะกับสินค้าขนาดใหญ่ หนัก หรือปริมาณมากต้องวางแผนล่วงหน้าเรื่องสต็อก
ประหยัดต้นทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจนำเข้าส่งออกที่มีรอบสั่งซื้อชัดเจนเสี่ยงต่อความล่าช้าจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ การจราจรทางเรือ หรือการตรวจสอบศุลกากร

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คืออะไร?

การขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight) คือการขนส่งสินค้าทางเครื่องบินที่ใช้ พื้นที่ว่างในเที่ยวบินพาณิชย์ หรือเที่ยวบินผู้โดยสาร โดยเป็นทางเลือกที่ถูกกว่าแบบ Express Air Cargo แต่ยังคงได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็วเมื่อเทียบกับทางเรือ เหมาะสำหรับสินค้าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักเบาถึงปานกลาง เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเร่งด่วน

ข้อดี-ข้อเสียของการขนส่งทางอากาศแบบประหยัด (Economy Air Freight)

ข้อดีข้อเสีย
รวดเร็วกว่าเรือมาก (โดยปกติ 3–7 วัน)ค่าขนส่งต่อหน่วยสูงกว่าทางเรือ
เหมาะกับสินค้าจำเป็นเร่งด่วนหรือมีวันหมดอายุสั้น เช่น อาหาร ยา เสื้อผ้าตามฤดูกาลจำกัดขนาด น้ำหนัก และประเภทของสินค้า
ขั้นตอนจัดส่งและพิธีการศุลกากรในหลายประเทศมักรวดเร็วกว่าหากส่งของในปริมาณมาก ต้นทุนรวมอาจสูงเกินคุ้ม

ส่งแบบไหนคุ้มที่สุด?

การขนส่งจะคุ้มค่าอย่างไรนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 อย่าง ดังนี้

  1. ปริมาณสินค้า – ถ้าสินค้าจำนวนมาก ทางเรือจะคุ้มกว่ามาก
  2. ระยะเวลาที่ต้องการใช้สินค้า – ถ้าต้องการเร็วและมีกำหนดแน่นอน ทางอากาศจะเหมาะกว่า
  3. ลักษณะของสินค้า – หากเป็นของเน่าเสียง่าย หรือมีมูลค่าสูง ควรใช้ทางอากาศเพื่อลดความเสี่ยง

 หากคุณกำลังเริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออก ควรประเมินจากต้นทุนต่อหน่วย ระยะเวลาในการส่งมอบ และความเสี่ยงด้านสินค้าเพื่อเลือกวิธีขนส่งให้ “เหมาะกับสินค้า” และ “เหมาะกับเงินในกระเป๋า” ของคุณที่สุด หรือจะใช้ทั้งสองแบบผสมกัน (เช่น ล็อตเร่งด่วนใช้ Economy Air ส่วนล็อตหลักใช้เรือ) ก็สามารถช่วยบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น